ฟังเพลงตามเทศกาล กิ๊ฟชอป, ตุ๊กตา

น้ำดื่มในขวด จะกินก็ต้องเลือก!

Posted by All วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2556 0 ความคิดเห็น



น้ำ เป็นปัจจัยที่สำคัญของมนุษย์และสิ่งมีชีวิต เพราะน้ำเป็นตัวทำละลายที่ดีในร่างกาย เป็นตัวกลางที่ทำให้เกิดกระบวนการทางสรีระวิทยาและปฏิกิริยาเคมี (Metabolism) ในร่างกายและช่วยควบคุมอุณหภูมิที่เหมาะสม ทราบกันใช่ไหมคะว่า ร่างกายของเราจะมีน้ำอยู่ในร่างกายถึง 60-70%  และเราควรดื่มที่น้ำสะอาดกันอย่างสม่ำเสมอ ปริมาณน้ำที่แนะนำต่อวัน อยู่ที่ประมาณ 2 ลิตร หรือที่พูดกันว่า 8 แก้วนั่นเอง
มาถึงคำถามที่ว่า แค่น้ำเปล่า ๆ จะอันตรายอย่างไร นั่นเพราะแหล่งน้ำที่นำมาผลิตน้ำดื่มส่วนใหญ่ มาจากแหล่งน้ำใต้ดิน หรือน้ำบาดาล อาจมีน้ำปะปา หรือแหล่งน้ำตามธรรมชาติบ้าง แต่ไม่ว่าจะมาจากแหล่งใด อันตรายที่แฝงมากับน้ำได้นั้น หนีไม่พ้นอันตรายทั้ง 3 ทาง คือ ทางกายภาพ เคมี และทางชีวภาพ อันตรายทางกายภาพ อันได้แก่ ฝุ่น ตะกอน สิ่งปลอมปนที่เห็นได้ชัดเจน กรวด หิน ดิน ทราย นี้สามารถขจัดออกได้ง่ายด้วยหลายกระบวนการร่วมกัน ตั้งแต่ การพักน้ำ การตกตะกอนและหลาย ๆ ขั้นตอนของกระบวนการกรอง ส่วนอันตรายทางชีวภาพ ได้แก่พวกเชื้อจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคที่ปะปนมาจากแหล่งน้ำนั้น สามารถขจัดได้ด้วยหลายวิธี หรือหลายกระบวนการร่วมกัน มีทั้งการเติมคลอรีน การใช้โอโซน ตัวกรองละเอียดหรือเมมเบรนในการขจัดแบคทีเรีย ยูวีในการกำจัดเชื้อ ส่วนอันตรายทางเคมี คือ สารโลหะหนักต่าง ๆ และสารเคมีที่ปะปนมาจากแหล่งน้ำ อันได้แก่ คลอไรด์ สารหนู แคดเมียม แบเรียม เหล็ก ทองแดง ตะกั่ว ปรอท สังกะสี และสารอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งกระบวนการในการกำจัดสารเคมีเหล่านี้มักใช้ระบวนการกรองที่ละเอียด เพื่อกำจัด อนุภาคของสารโลหะหนัก หรือสารเคมีที่ปะปนมากับน้ำที่ใช้ในการผลิตน้ำดื่ม และภัยเงียบที่น่ากลัวสำหรับผู้บริโภคอย่างเรา ๆ ก็คือ กระบวนการผลิตน้ำดื่มที่ไม่ได้มาตรฐานนั่นเอง

ซึ่งในปัจจุบันนี้ น้ำดื่มในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิทที่มีขายโดยทั่วไป จึงเป็นที่นิยมของผู้บริโภคทั่วประเทศ ทั้งสะดวก มีขายอยู่โดยทั่วไปมากมายหลายยี่ห้อ ในแทบทุกสถานที่ และเนื่องจากกรรมวิธีการผลิตที่ไม่ยุ่งยาก จึงทำให้ธุรกิจการผลิตน้ำดื่มในภาชนะที่ปิดสนิทขยายตัวอย่างรวดเร็ว มีผู้ประกอบธุรกิจผลิตน้ำดื่มฯ ออกมาจำหน่ายมากมายในท้องตลาด เมื่อเป็นธุรกิจที่มีการขยายตัวสูง และมีการแข่งขันทางการตลาดกันมาก ก็ย่อมเป็นธรรมดา ซึ่งจะพบปัญหาบ้าง เช่น น้ำดื่มบางยี่ห้อไม่ได้คุณภาพมาตรฐาน หรือผู้ผลิตบางรายนำเอาขวดหรือถังบรรจุของผู้ผลิตรายอื่นมาใช้บรรจุน้ำของตนออกจำหน่าย แต่ทั้งนี้การกระทำดังกล่าว ผู้ผลิตบางรายอาจไม่รู้ว่ามีกฎหมายควบคุม ทราบกันไหมคะว่าน้ำดื่มในภาชนะที่ปิดสนิทที่เราดื่มกันอยู่นั้น หน่วยงานภาครัฐมีกฏหมายควบคุม และเป็นการคุ้มครองผู้บริโภค น้ำดื่มในภาชนะบรรจุปิดสนิทจึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดให้เป็นอาหารควบคุมเฉพาะ ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 61 (พ.ศ.2524) และแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 135 (พ.ศ.2534) ซึ่งผู้ผลิตต้องขออนุญาตผลิต ขอขึ้นทะเบียนตำรับอาหารและขออนุญาตใช้ฉลากให้ถูกต้องกันด้วยนะคะ
ดังนั้น ในการเลือกซื้อน้ำดื่มฯ ถึงแม้ว่าจะมีเครื่องหมาย อย. ก็ตาม อาจมีการปลอมแปลงขึ้นมาได้ จึงควรสังเกตและพิจารณาให้ดี โดยมีข้อสังเกตดังนี้

1) ลักษณะของภาชนะบรรจุต้องสะอาด ไม่รั่วซึม หรือมีรอยสกปรก ถ้าบรรจุในภาชนะที่เป็นพลาสติก ภาชนะต้องสะอาด ไม่มีความปนเปื้อน ฝาปิดต้องสนิทและมีพลาสติกรัดอีกชั้นหนึ่งหรือถ้าเป็นขวดแก้ว ก็ต้องสะอาด ฝาปิดสนิทเช่นกัน ฝาที่ปิดผนึกหากเป็นชนิดขวด จะต้องไม่มีร่องรอยว่ามีการเปิดใช้ และหากเป็นชนิดถังต้องมีห่วงพลาสติกผนึกรอบฝาจุกกับปากถัง

2) ตรวจดูฉลากให้ดีว่ามีรายละเอียดครบถ้วนหรือไม่ ได้แก่ ชื่อน้ำดื่ม เลขทะเบียนตำรับ หรือเลขที่อนุญาตให้ใช้ฉลาก ซึ่งจะแสดงในกรอบเครื่องหมาย อย. ชื่อผู้ผลิตและสถานที่ตั้ง และปริมาตรสุทธิ

3) สภาพของน้ำหรือลักษณะของน้ำ ต้องใสสะอาด ไม่มีตะกอน ไม่มีสิ่งเจือปนอื่น ๆ ไม่มีสี กลิ่น หรือรสที่ผิดปกติ ควรเลือกซื้อจากผู้ผลิตที่เชื่อถือได้ มีที่อยู่แน่นอน หรือเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป มีการเก็บรักษาที่ดี ไม่วางปะปนกับผลิตภัณฑ์วัตถุอันตราย

4) การเลือกซื้อน้ำชนิดถัง ควรตรวจสอบให้ดีว่าฉลากที่ถัง กับพลาสติกที่รัดปากถัง เป็นของผู้ผลิตเดียวกันหรือไม่ เพราะผู้ผลิตบางรายจะเก็บถังของผู้ผลิตรายอื่นมาบรรจุน้ำของตน

5) ไม่ควรซื้อตามคำโฆษณา หรือคำกล่าวอ้าง เช่น มีแร่ธาตุครบตามที่ร่างกายต้องการ เป็นต้น
เพราะน้ำดื่มจัดเป็นสิ่งสำคัญมาก และร่างกายรับเข้าไปในปริมาณมากต่อวัน ผู้บริโภคที่รักสุขภาพอย่างเรา ๆ จึงไม่ควรมองข้ามในการเลือกซื้อ เลือกบริโภค ให้ได้น้ำดื่มที่มั่นใจว่ามีคุณภาพ ปลอดภัย และผ่านตามมาตรฐานที่กฏหมายกำหนดจริง เพราะหากน้ำดื่มที่เราดื่มเป็นประจำนั้น ไม่ได้มาตรฐาน จะส่งผลถึงความปลอดภัยของร่างกายในระยะยาว โดยการสะสมของสารโละหนักตกค้างที่เข้าสู่ร่างกายจากน้ำดื่มนั้นทุกวันๆ จึงเป็นที่มาของโรค และความผิดปกติต่าง ๆ กับร่างกายได้ ใส่ใจและพิถีพิถันกันสักนิดนะคะ ก่อนหยิบน้ำ ดื่มเข้าสู่ร่างกายของเรากัน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.dailynews.co.th

เล่นเกม"เตตริส" ช่วยรักษาอาการ"ตาขี้เกียจ"

Posted by All วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2556 0 ความคิดเห็น


แพทย์ชาวแคนาดาเผยผลการศึกษาที่พบว่า การเล่นเกม"เตตริส"จะช่วยบริหารสายตาที่มีอาการที่เรียกว่า "ตาขี้เกียจ"ได้ดี

โดยทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแมคกิล พบว่าเกมจัดเรียงตัวบล็อกให้เป็นแถวดังกล่าว จะช่วยทำให้ตาทั้งสองข้างสามารถทำงานได้พร้อมๆกัน

ผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร "Current Biology" โดยใช้กลุ่มผู้ใหญ่ 18 คน พบว่าวิธีดังกล่าวได้ผลดีกว่าการรักษาด้วยการติดแผ่นแปะไว้ที่ตาข้างที่ดีกว่า เพื่อให้ตาที่ใช้น้อยกว่าได้ทำงานมากขึ้น

คาดการณ์กันว่า เด็กทุก 1 จาก 50 ราย มีอาการที่ทางการแพทย์เรียกว่า "ตาขี้เกียจ" (amblyopia) หรืออาการที่ทำให้ตาทั้งสองข้างไม่ได้ใช้มอง หรือใช้ตาข้างใดข้างหนึ่งมองน้อยกว่าอีกข้างในช่วงตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 ขวบ ที่ทำให้ตาข้างที่ใช้น้อยกว่าเจริญไม่เต็มที่ และมัวกว่าตาอีกข้างไปตลอดชีวิต ซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการผ่าตัด กินยา หยอดยา เลเซอร์ หรือวิธีการใด

การทดลองโดยใช้อาสาสมัคร 18 ราย โดย 9 รายที่มีอาการตาขี้เกียจ จะต้องสวมแว่นตาสำหรับเล่นเกมเตเตริส นาน 1 ชม.ต่อวัน ติดต่อกันนาน 2 สัปดาห์ หลังสวมแว่นตาดังกล่าว จะมองเห็นแต่เพียงบล็อกที่กำลังค่อยๆตกลงมา ขณะที่อีกข้างจะเห็นแต่บล็อกที่วางต่อกันอยู่บนพื้น

ส่วนอาสาสมัครอีก 9 คนที่มีอาการตาขี้เกียจเช่นกัน จะต้องสวมแว่นตาเช่นกัน แต่ตาข้างที่ดีกว่าจะถูกปิดและมองภาพของทั้งเกมผ่านตาข้างที่อ่อนแอกว่า

หลังสิ้นสุดการทดลองนาน 2 สัปดาห์ กลุ่มที่ใช้ตาทั้งสองข้าง มีการพัฒนาการมองเห็นได้มากกว่ากลุ่มที่ปิดตาหนึ่งข้าง ต่อมานักวิจัยจึงให้กลุ่มที่ปิดตาหนึ่งข้างเปิดตาอีกข้าง ทำให้การพัฒนาการมองเห็นดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ดร.โรเบิร์ต เฮสส์ กล่าวว่า การรักษาด้วยวิธีนี้เป็นทางเลือกที่ดีกว่าการติดแผ่นแปะ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ใหญ่ เนื่องจากผู้ใหญ่ไม่มีแนวโน้มที่จะได้รับประโยชน์ใดๆจากวิธีเดิม อีกทั้งยังไม่จำเป็นต้องเป็นเกมเตตริส แต่เป็นเกมคอมพิวเตอร์ใดๆก็ได้  การที่ทำให้ตาสองข้างได้ทำงานพร้อมๆกัน จะทำให้การมองเห็นดีขึ้น

เขากล่าวว่า ผลการวิจัยครั้งนี้และอื่นๆก่อนหน้านี้ ชี้ให้เห็นว่า อาการตาขี้เกียจส่วนใหญ่เกิดจากตาทั้งสองข้าง และการที่ปิดตาข้างที่ดีกว่า อาจยิ่งทำให้อาการแย่ลงมากกว่าที่จะรักษาตาอีกข้าง นอกจากนั้น การบังคับให้ตาทั้งสองข้างทำงานร่วมกัน จะช่วยเพิ่มระดับของ"สภาพพลาสติก" หรือความสามารถในการปรับตัวในสมอง และทำให้ตาข้างที่อ่อนแอสามารถเรียนรู้ที่จะมองเห็นได้อีกครั้ง

ที่มา www.matichon.co.th

พบสาเหตุทำเด็กเครียดง่าย ติดตัวยันโต

Posted by All วันจันทร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2556 0 ความคิดเห็น



ทำไมลูกของเราจึงเป็นคนเครียดง่าย? คนเป็นพ่อเป็นแม่ที่มีลูกเข้าลักษณะดังกล่าว เคยสงสัยกันบ้างไหม...


ข้อสงสัยข้างต้น มุมสุขภาพค้นเจอคำตอบจากผลงานวิจัยแดนมะกัน ของอลิซ เกรแฮม นักศึกษาปริญญาเอก มหาวิทยาลัยโอเรกอน ซึ่งเล่าไว้ว่า ลูกน้อยที่ได้ยินเสียงพ่อแม่ทะเลาะเบาะแว้ง โต้เถียงรุนแรง จะกลายเป็นคนเครียดง่าย แม้กระทั่งตอนที่พวกเขากำลังหลับ สมองของเด็กก็รับรู้ถึงเสียงแห่งความขัดแย้งได้เช่นกัน


โดยลักษณะสมองของเด็กๆ ที่กำลังพัฒนาอยู่นั้น ยังไม่แข็งแกร่งเต็มประสิทธิภาพเหมือนผู้ใหญ่ จึงมีความไวต่อการตอบสนองสภาพแวดล้อมรอบตัว แถมเสียงตะคอกตะโกนใส่กันยังสร้างความเครียด และกลายเป็นตัวขวางพัฒนาการทางสมองของเด็ก


การศึกษาเรื่องนี้ ผู้วิจัยใช้เครื่องสแกนเอ็มอาร์ไอดูสมองของเด็กเล็ก 20 คน ขณะนอนหลับ จนสามารถสังเกตเห็นความแตกต่างในการทำงานสมอง หลังได้รับรู้โทนเสียงที่มีลักษณะแตกต่างกัน เช่น เสียงทะเลาะดังๆ ของคนที่กำลังโกรธ หรือเสียงโทนอ่อนนุ่มจากผู้ใหญ่ที่พูดคุยกันปกติ


เกรแฮม ผู้วิจัย บอกว่า เรากำลังสนใจค้นหาแหล่งที่มาของความเครียดในช่วงต้นของชีวิต โดยเชื่อว่าความขัดแย้งของพ่อแม่ สัมพันธ์กับการทำงานของสมองเด็กน้อยเหล่านั้น


นอกจากนี้ ยังพบว่า เด็กที่เติบโตมาจากบ้านแห่งความขัดแย้ง มักจะเป็นคนมีอามรณ์ฉุนเฉียว โกรธง่าย และควบคุมอารมณ์ได้ยากกว่าเด็กที่เติบโตมาจากบ้านที่มีความขัดแย้งต่ำ


อย่างไรก็ตาม ที่หลายคนรู้กันมาว่า ถ้าตอนตั้งครรภ์ คุณแม่เครียด ขี้โมโห นิสัยเหล่านั้นก็จะส่งผลถึงทารกในครรภ์ ซึ่งนักวิจัยย้ำว่า จริง แถมยังส่งผลให้เด็กเติบโตมาเป็นคนอารมณ์อ่อนไหว เครียดง่าย
ไม่อยากให้ลูกน้อย โตไปเป็นคนขี้กังวล เครียดง่าย ควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยอยู่ พ่อแม่และทุกคนในบ้านต้องร่วมกันสร้างบรรยากาศที่ดีในครอบครัวแล้วล่ะ


ที่มา เดลินิวส์ออนไลน์

อย่าชะล่าใจ... "นอนไม่หลับ" ร้ายกว่าที่คิด

Posted by All วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2556 0 ความคิดเห็น

อย่าชะล่าใจ... "นอนไม่หลับ" ร้ายกว่าที่คิด


"การนอนหลับสนิท เป็นลาภอันประเสริฐ" ผู้ที่เคยเผชิญปัญหาการนอนไม่ได้ คงเข้าใจเป็นอย่างดีว่าการนอนอย่างเพียงพอมีผลดีต่อชีวิตมากแค่ไหน นอกจากจะช่วยให้ร่างกายได้พักผ่อนเต็มที่ ยังส่งผลให้การทำงานและการใช้ชีวิตเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ 

แต่มารร้ายจากความผิดปกติเกี่ยวกับการนอนหลับมีหลายอย่าง ตั้งแต่การนอนกรนเสียงดังมาก ไปจนถึงการหยุดหายใจเป็นช่วง ๆ ซึ่งหากเกิดขึ้นเป็นช่วงยาวจะทำให้เกิดการขาดออกซิเจน มีผลกระทบต่อสุขภาพและโรคต่าง ๆ ที่เป็นอยู่ เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน อัมพาต อัมพฤกษ์ และอื่น ๆ




"การนอนหลับสนิท เป็นลาภอันประเสริฐ" ผู้ที่เคยเผชิญปัญหาการนอนไม่ได้ คงเข้าใจเป็นอย่างดีว่าการนอนอย่างเพียงพอมีผลดีต่อชีวิตมากแค่ไหน นอกจากจะช่วยให้ร่างกายได้พักผ่อนเต็มที่ ยังส่งผลให้การทำงานและการใช้ชีวิตเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ 

แต่มารร้ายจากความผิดปกติเกี่ยวกับการนอนหลับมีหลายอย่าง ตั้งแต่การนอนกรนเสียงดังมาก ไปจนถึงการหยุดหายใจเป็นช่วง ๆ ซึ่งหากเกิดขึ้นเป็นช่วงยาวจะทำให้เกิดการขาดออกซิเจน มีผลกระทบต่อสุขภาพและโรคต่าง ๆ ที่เป็นอยู่ เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน อัมพาต อัมพฤกษ์ และอื่น ๆ 

หากใครเคยมีอาการดังต่อไปนี้ 

1.กรนเสียงดังและมีลักษณะอาการหอบ หรือสำลักระหว่างนอน

2.ง่วงนอนมากในช่วงกลางวัน
3.ปวดหัวในตอนเช้า มีปัญหาด้านความจำ
4.อารมณ์ฉุนเฉียวง่าย และไม่มีสมาธิในการทำงาน
5.อารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ และ
6.คอแห้งหลังจากตื่นนอน และถ่ายปัสสาวะบ่อยในตอนกลางคืน 

นั่นคือ สัญญาณร้ายเข้าข่ายเสี่ยงเป็น "โรคนอนหยุดหายใจอุดกั้น" 

เป็นอาการที่พบได้บ่อยในผู้ที่มีปัญหาด้านการหายใจระหว่างนอนหลับ ผู้ที่มีอาการหยุดหายใจเป็นช่วง ๆ ในระหว่างนอนหลับมีสาเหตุเกิดจากการปิดกั้นทางเดินหายใจส่วนบน ระยะเวลาการหยุดหายใจระหว่างการนอนหลับสามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ 10 วินาทีขึ้นไป มีผลทำให้ร่างกายไม่ได้รับออกซิเจนในแต่ละช่วงที่ร่างกายหยุดหายใจ 

ผู้ที่มีอาการโรคนอนหยุดหายใจแบบอุดกั้น จะมีการหยุดหายใจขณะนอนมากกว่า 5 ครั้งในหนึ่งชั่วโมง หรือในบางรายอาจมีมากกว่า 100 ครั้งในหนึ่งชั่วโมงเลยทีเดียว

สถิติทั่วโลกมีผู้ป่วยเป็นโรคนี้ประมาณ 2-4 เปอร์เซ็นต์ ผลร้ายจากโรคนี้ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพอีกหลายโรคตามมา เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ เส้นเลือดอุดตัน และเบาหวาน 

วิธีรักษาอาการโรคหยุดหายใจแบบอุดกั้นที่ใช้กันมากที่สุด คือ การใช้เครื่องมือที่เรียกว่า เครื่องช่วยหายใจชนิดแรงดันบวก (Continuous Positive Airway Pressure หรือ CPAP) โดยการรักษาด้วยเครื่อง CPAP เป็นการรักษาที่ไม่ต้องใส่อวัยวะเทียมเข้าไปในร่างกาย และสามารถช่วยบรรเทาอาการโรคนอนหยุดหายใจแบบอุดกั้นได้

อีกหนึ่งวิธีง่าย ๆ รักษาโรคนอนไม่หลับได้ด้วยตัวเอง คือ การเข้านอนตื่นนอนให้ตรงเวลา ปิดสวิตช์การคิดทุกอย่างให้หมดโดยพร้อมที่จะนอนหลับเพียงอย่างเดียว ยิ่งโดยเฉพาะการใช้คอมพิวเตอร์จะทำให้แสงจากหน้าจอมอนิเตอร์ทำร้ายสายตาได้ หากใช้เป็นระยะเวลามาก ๆ จะทำให้นอนหลับได้ยากขึ้น

เนื่องจากความเข้าใจในโรคนอนหยุดหายใจแบบอุดกั้นยังไม่เป็นที่แพร่หลาย จึงทำให้มีผู้ป่วยหลายรายยังไม่ได้รับการตรวจและรักษาอย่างถูกวิธี

ด้วยเหตุนี้ "รอยัลฟิลิปส์อิเล็กทรอนิกส์" จัดกิจกรรมเพื่อให้ประชาชนทั่วโลกตระหนักถึงความสำคัญนี้ โดยเปิดโครงการเพื่อตรวจสอบความเสี่ยงต่อการเป็นโรคนอนหยุดหายใจแบบอุดกั้นให้คนทั่วโลกกว่า 1 ล้านคน พร้อมคาดว่าจะมีประชาชนกว่า 150,000 คนจากภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกจะเข้าร่วมการตรวจครั้งนี้ 

โครงการเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ ถึงปี พ.ศ. 2561 เพื่อเฉลิมฉลองเนื่องในวันนอนหลับโลก ปี 2556 โดยปีนี้จัดงานภายใต้หัวข้อ "นอนหลับดี มีอายุยืน" (Good Sleep Healthy Aging) 

ฉะนั้น "ปัญหานอนไม่หลับ" เป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม เพราะสิ่งที่ตามมามีผลร้ายกว่าที่คุณคิด

ลองเข้าไปทำแบบทดสอบออนไลน์ เพื่อประเมินว่าตนเองเป็นผู้มีความเสี่ยงต่อโรคนอนหยุดหายใจแบบอุดกั้นหรือไม่ที่ http://www.areyousnoring.com/Sleep_Test โดยผู้ทำแบบทดสอบจะได้ทราบผลว่าตนเองมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหรือไม่ และจะได้รับคำแนะนำเพื่อให้สามารถนำไปปรึกษาแพทย์เพื่อทำการรักษาต่อไป



(ที่มา:ประชาชาติธุรกิจออนไลน์)


กีวี รวมสารอาหาร ชะลอวัย ต้านโรคหืด

Posted by All วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 0 ความคิดเห็น
กีวีได้ชื่อว่ารวมรสชาติของผลไม้ 3 ชนิด เข้าไว้ด้วยกัน ทั้ง พีช (peach) สตอว์เบอร์รี่ (strawberry) และเมลอน (melon) เมื่อผนวกกับ เนื้อที่นุ่ม ฉ่ำน้ำ จึงกลายเป็นที่ชื่นชอบของใครหลายคน

“กีวี เป็นผลไม้ที่อุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการ โดยเฉพาะมีสารแอนติออกซิแดนต์มากที่สุดชนิดหนึ่ง”

หนังสือ The 150 Healthiest Foods on Earth ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า สารแอนติออกซิแดนต์ในผลกีวี ทั้งวิตามินซี วิตามินเอ และวิตามินอี ช่วยต้านมะเร็ง และปกป้องเซลล์จากการทำลายของฟรีแรดิคัล ซึ่งเป็นสาเหตุของความชราและโรคจากความเสื่อม

คุณ อลิซาเบธ วอร์ด (Elizabeth Ward) นักกำหนดอาหารวิชาชีพ และอดีตโฆษกของ สมาคมนักกำหนดอาหารแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา (The American Dietetic Association) ขยายความว่า“กินกีวีสด 1 ผลใหญ่ จะได้รับวิตามินซีปริมาณสูง เพียงพอกับความต้องการของร่างกายใน 1 วัน นอกจากนี้ กีวี ยังเป็นแหล่งรวมของสารอาหารที่มีประโยชน์หลายชนิด เช่น วิตามินเอ วิตามินอี โพแทสเซียม และใยอาหาร ต่างจากผลไม้ส่วนใหญ่ที่มีสารอาหารเหล่านี้ไม่ครบทุกชนิด”
          
กินกีวีต้านโรคหืด

อาการหายใจติดขัด น้ำมูกไหล ไอเรื้อรัง กีวีช่วยได้

วารสาร Thorax รายงานการศึกษาในเด็กชาวอิตาลีอายุระหว่าง 6-7 ปี ที่มีอาการของโรคหืด จำนวน 18,737 คน พบว่า กลุ่มเด็กที่กินผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง หรือกินผลกีวีสดสัปดาห์ละ 5-7 ครั้ง อาการของโรคหืดลดลง โดยอาการหายใจเสียงวี้ด ๆ (wheezing) ซึ่งเกิดจากทางเดินหายใจตีบแคบลง 44 เปอร์เซ็นต์
อาการหายเร็ว สั้น จนทำให้รู้สึกเหนื่อย (Shortness of breath) ลดลง 32 เปอร์เซ็นต์ ไอเวลากลางคืน (night time cough) ไอเรื้อรัง (chronic cough) และน้ำมูกไหล (runny nose) ลดลงประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มเด็กที่กินผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง หรือกินผลกีวีสดน้อยกว่าสัปดาห์ละ 1 ครั้ง

มื้อต่อไป กินกีวีช่วยชะลอวัยและต้านโรคกันดูนะคะ


ที่มา นิตยสารชีวจิตฉบับที่ 342

9 ข้อคิด... การเลือกใช้เครื่องสำอาง

Posted by All วันพุธที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2556 0 ความคิดเห็น




1. เมกอัพที่ผสมยากันแดดอาจทำให้เกิดสิวได้ ที่สำคัญค่าการกันแดดในเมกอัพพวกนี้ต่ำ ดังนั้นจึงควรใช้ยากันแดดล้วน ๆ ดีกว่า


2. โทนเนอร์ (toners) ทำให้ผิวสวยแห้งได้ ที่เห็นเห็นโฆษณาโดยใช้สำลีชุบน้ำยาเช็ดหน้า แล้วเช็ดคราบออกมาดำเป็นปื้นนั้น เป็นส่วนบนสุดของผิวหนังต่างหากไม่ใช่สิ่งสกปรก ถ้าเช็ดหน้าด้วยน้ำยาเช็ดหน้ามากเกินไป ผิวหนังจะยิ่งแห้งผากเกิดการระคายเคืองได้ง่าย


3. ครีมทาก่อนนอน (night creams) ที่หนา ๆ เหมาะกับผิวหน้าที่แห้งผากจนเป็นขุยเท่านั้น หากมีผิวที่ปกติหรือมันอยู่แล้ว การทาครีมก่อนนอนจะทำให้ต่อมไขมันอุดตันเกิด สิวได้ แต่ถ้ามีผิวแห้งทาครีมให้ความชุ่มชื้นชนิดบางก็เพียงพอแล้ว


4. หากหน้ามันจนเยิ้ม จะใช้โลชั่นเช็ดหน้าลดความมัน หรือใช้แป้งประหน้าบ้างก็จะลดความมันบนใบหน้าได้


5. หากมีสิวที่หน้าผาก บริเวณที่ผมเสียดสีกับผิวหนัง ต้นเหตุมักเป็นมูส เจล หรือสเปรย์ที่ฉีดผม ถ้าเลิกใช้ไม่ได้ก่อนใช้เครื่องสำอางแต่งผมเหล่านี้ ควรปิดหน้าผากโดยใช้กระดาษทิชชูเสียก่อนแล้วพยายามใช้ให้น้อยลง


6. เครื่องสำอางที่ปราศจากกลิ่น (unscented products) นั้นบางครั้งมีการเติมน้ำหอม (fragrances) ลงไปเพื่อดับกลิ่นสารเคมีบางตัว ดังนั้นจึงยังอาจแพ้เครื่องสำอางที่ปราศจากกลิ่นได้ กรณีนี้ลองหันมาใช้เครื่องสำอางที่ไม่มีการเติมน้ำหอม (fragrance-free) จะดีกว่า


7. หากแพ้ยาทาเล็บ อาจทำให้เกิดผื่นรอบดวงตาได้ ทั้งนี้เพราะอาจเผลอใช้เล็บเกาบริเวณนั้นนั่นเอง


8. ครีมล้างหน้า ไม่ค่อยจำเป็นมากนัก ยกเว้น กรณีนักแสดงหรือนางแบบที่ต้องใช้เมกอัพหนา ๆ จึงเหมาะที่จะใช้ครีมล้างหน้า


 9. ยาสีฟัน ที่ขจัดคราบฟันจากการสูบบุหรี่ อาจทำให้เกิดสิวอักเสบรอบ ๆ ปากได้



ที่มา : หมอชาวบ้าน 

แสงแดดยามเช้าช่วยรักษาโรคซึมเศร้า

Posted by All วันพฤหัสบดีที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2556 0 ความคิดเห็น


ต้องยอมรับว่าปัจจุบันนี้ผู้ป่วยโรคซึมเศร้านั้นมีจำนวนมากขึ้น ไม่ว่าจะเพราะปัจจัยทางด้านความเครียด ฮอร์โมน ภาวะกดดันในจิตใจ ฯลฯ โดยส่วนใหญ่มักมีความรู้สึกเหนื่อยอ่อน วิตกกังวล และง่วงซึม ซึ่งนับเป็นส่วนหนึ่งของอาการของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า

ซึ่งโรคนี้สามารถรักษาให้หายด้วยการบำบัดทางยา จิตบำบัด และธรรมชาติบำบัด โดยเฉพาะการบำบัดด้วยแสง ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าการได้รับแสงแดดทุกเช้าเป็นเวลา 30 - 60 นาที จะช่วยรักษาอาการเหล่านี้ได้

แสงแดดอ่อนๆ จะช่วยลดฮอร์โมนเมลาโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สร้างขึ้นจากต่อมไพเนียเพื่อควบคุมการนอนหลับ โดยเมลาโทนินนั้นจะถูกกระตุ้นด้วยความมืดและยับยั้งด้วยแสงสว่าง ดังนั้นการได้รับแสงแดดยามเช้าจึงช่วยให้ผู้ป่วยสดชื่นและกระปรี้กระเปร่าขึ้นได้

แต่ถึงแม้ว่าเมลาโทนินจะเป็นผลเสียกับผู้ป่วยโรคซึมเศร้าแต่สำหรับคนทั่วไปควรเข้านอนแต่หัวค่ำ
เพื่อให้ร่างกายได้ผลิตสารดังกล่าวเพื่อจะเป็นส่วนช่วยในการต้านอนุมูลอิสระ และทำให้ริ้วรอยก่อนวัยไม่มาเร็วเกินไปแถมยังช่วยให้เราหลับฝันดีอีกด้วย ดังนั้นจะใช้แสงในการบำบัดร่างกายอย่างไรก็ควรเลือกให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคลด้วย




ที่มา www.busbuddythailand.com

6 เคล็ดลับลบแผลบนใบหน้าแบบไม่ให้เหลือร่องรอย

Posted by All วันพุธที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2556 0 ความคิดเห็น


การมีบาดแผลบนใบหน้าเป็นสิ่งที่แย่ที่สุดสำหรับผู้หญิงทุกคน ไม่ใช่เพราะผิวมีแผลเท่านั้น หลังจากรักษาบาดแผลหายแล้วก็ยังเสี่ยงที่จะเกิดรอยแผลเป็นอีกด้วย หากเกิดรอยแดงรอยดำขึ้นมาเมื่อไหร่ มองทีไรก็ช้ำใจและยิ่งเสียดายผิวสวย ๆ ก่อนหน้านี้จริง ๆ ถ้าอย่างนั้นลองมาดูวิธีดูแลผิวที่เป็นแผลเพื่อลดโอกาสเกิดรอยแผลเป็นกันดีกว่าค่ะ

        1. เคร่งครัดกับการดูแลผิวประจำวัน
          การดูแลผิวที่กำลังมีบาดแผลไม่ให้มีสภาพแย่ลงไปกว่าเดิมเป็นสิ่งสำคัญมาก คุณจะต้องดูแลผิวในแต่ละวันอย่างเคร่งครัด ห้ามขาดการทาครีมกันแดดก่อนจะออกไปข้างนอกเด็ดขาด นอกจากนี้ ก่อนนอนก็ต้องทาครีมบำรุงที่เหมาะกับสภาพผิวอย่างสม่ำเสมอ เพราะเป็นการรักษาสภาพผิวให้อยู่ในภาวะสมดุลที่สุด

        2. แผลจางลงด้วยอโลเวร่าเจล และทีทรีออยล์
          ผิวที่ชุ่มชื้นดีจะทำให้รอยแผลดูจางลงได้ด้วย หลังจากล้างหน้าสะอาดดีแล้วให้ทาผิวด้วยอโลเวราเจล หรือ ทีทรีออยล์ ทิ้งเอาไว้ 15 นาที แล้วจึงล้างออกอีกครั้งด้วยน้ำเปล่า ทำเช่นนี้บ่อย ๆ รอยแผลก็จะดูจางลง

        3. แผลหายไวไม่ทิ้งแผลเป็นด้วยแตงกวา
          น้ำที่คั้นจากแตงกวาช่วยให้บาดแผลของคุณหายได้ไวขึ้น โดนใช้น้ำแตงกวาคั้นทาทิ้งไว้ทั่วทั้งใบหน้า ทิ้งเอาไว้จนแห้งไปกับผิว จากนั้นจึงล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด จะช่วให้แผลสมานตัวได้ดี นอกจากนี้คุณยังสามารถสามารถใช้หอมหัวใหญ่ผสมกับมะเขือเทศบดละเอียด ก็จะให้ผลที่ดีกับผิวหน้าได้เช่นกัน

        4. สารพัดออยล์ธรรมชาติช่วยแผลหายได้ไว
          น้ำมันสกัดจากธรรมชาติหลาย ๆ ชนิด มีคุณสมบัติช่วยปลอบประโลมผิวที่บอบบาง และผิวที่มีบาดแผล เช่น น้ำมันจากต้นกระทิง (Calophyllum inophyllum oil) โรสฮิปออยล์ น้ำมันสกัดจากนกอีมู เป็นต้น

        5. แผลหายไวไม่ระคายเคืองด้วยน้ำเย็น
          ลดอาการแสบและระคายเคืองผิวและบาดแผลได้ด้วยการใช้น้ำแข็งประคบ หรือล้างหน้าด้วยน้ำเย็น นอกจากจะปลอบประโลมผิวแล้วยังทำให้ผิวสดชื่นอีกด้วย

        6. โกโก้บัตเตอร์
          การทาโกโก้บัตเตอร์นอกจากจะให้ความชุ่มชื้นกับผิวได้ดีแล้ว ยังมีคุณสมบัติช่วยให้รอยด่างดำเล็ก ๆ จางลงได้ด้วย


ที่มา http://women.kapook.com

ดื่มน้ำอัดลมวันละ 4 กระป๋อง เสี่ยงต่อโรคซึมเศร้า แต่ดื่มกาแฟกลับดีต่อสุขภาพจิต

Posted by All วันอังคารที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2556 0 ความคิดเห็น


นักวิจัยพบความเกี่ยวเนื่องของการดื่มน้ำอัดลมกับอาการซึมเศร้า ขณะเดียวกันก็พบข้อดีของกาแฟต่อสุขภาพจิต

การศึกษาโดย National Institutes of Health ของสหรัฐที่สำรวจคนมากกว่า 250,000 คน พบว่าผู้ที่ดื่มน้ำอัดลม 4 กระป๋องต่อวันเสี่ยงต่ออาการซึมเศร้ามากกว่าปกติ 30% และหากดื่ม fruit punch ที่มีน้ำตาลมากในประมาณเดียวกัน อัตราความเสี่ยงที่มากกว่าปกติจะเพิ่มเป็น 38% แต่หากเป็นเครื่องดื่มชนิดใช้สารแทนน้ำตาลหรือน้ำอัดลมแบบ Diet ความเสี่ยงจะมากขึ้นอีก

นักวิจัยไม่พบความเชื่อมโยงโดยตรงระหว่างน้ำอัดลมกับอาการซึมเศร้าแต่พอจะสามารถตั้งสมมุติฐานเบื้องต้นได้ว่าผู้นิยมดื่มเครื่องดื่มลักษณะดังกล่าวปริมาณมากมักเป็นโรคเบาหวานและโรคอ้วน ซึ่งเชื่อมโยงกับโรคซึมเศร้า

ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้ศึกษาสำรวจการบริโภคของคนอายุระหว่าง 50 ถึง 71 ปี จำนวนเกือบ 264,000 คน ช่วงปี ค.ศ.1994-1995 และ 10 ปีหลังจากนั้นถามคนกลุ่มนี้ว่าเป็นโรคซึมเศร้าหรือไม่

ทั่วโลกมีคนเป็นโรคนี้ 350 ล้านคน และในสหรัฐเองคาดว่ามีผู้ป่วยโรคนี้ประมาณ 10% ของประชาการทั้งหมด

นอกจากนั้นการศึกษาพบด้วยว่าผู้ดื่มกาแฟวันละ 4 แก้วมีความเสี่ยงต่อโรคซึมเศร้าน้อยกว่าคนที่ไม่ดื่ม 10%

โปรดติดตามรายละเอียดจากคลิปเรื่องนี้ในรายการข่าวสดสายตรงจากวีโอเอ


ที่มา www.voathai.com

ผลวิจัยเผย ดื่มน้ำอัดลม 1 ขวด อาจต้องวิ่ง 50 นาทีสำหรับการเบิร์น

Posted by All วันจันทร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2556 0 ความคิดเห็น


ข่าวที่จะนำมาเล่าต่อไปนี้อาจทำให้สาวๆ ที่กลัวอ้วนไม่กล้าดื่มน้ำอัดลมกันไปเลยก็ได้ เพราะเมื่อไม่นานมานี้ ได้มีผลการศึกษาตีพิมพ์ใน American Journal of Public Health เปิดเผยว่า
คนเรามักจะประเมินแคลอรีที่ตัวเองกินเข้าไปผิดพลาด และแทนที่อาหารจะติดฉลากว่ามีแคลอรีเท่าไหร่นั้น ฉลากที่เขียนว่าต้องวิ่งเพื่อเผาผลาญพลังงานกี่นาทีจะได้ผลดีมากกว่า

โดยนักวิจัยจาก Johns Hopkin’s Bloomberg School of Public Health ชี้ว่า แม้น้ำอัดลมจะมีแคลอรีสูง แต่ก็ไม่มีสารอาหารเลย สำหรับคนหนัก 55 กิโลกรัม อาจต้องใช้เวลาถึง 50 นาทีในการเผาผลาญพลังงานจากน้ำอัดลม 20 ออนซ์ ส่วนคนหนัก 75 กิโลกรัมก็อาจต้องใช้เวลาถึง 40 นาที

แทบไม่อยากคิดเลยว่าคนดื่มน้ำอัดลมทั้งวันจะต้องวิ่งกี่ชั่วโมงกว่าจะเผาผลาญพลังงานหมด ที่สำคัญคนดื่มน้ำอัดลมมักไม่ค่อยยอมออกไปวิ่งด้วยน่ะสิ คงต้องใช้เวลาในการเผาผลาญนานขึ้นอีก


ที่มา www.lisaguru.com

6 วิธีลดหน้าท้อง ลดพุง แบบเห็นผล

Posted by All 0 ความคิดเห็น


สาว ๆ ที่กังวลใจว่าจะใส่ชุดไหนก็ไม่สวย เพราะพุงน้อย ๆ จะโผล่ออกมาโดยไม่ได้รับเชิญก็ไม่ต้องกลุ้มใจไปค่ะ เพราะวันนี้กระปุกดอทคอมรวบรวม วิธีลดหน้าท้อง วิธีลดพุง หลากหลายวิธีมาบอกกันไปดูกันเลย

1.ใช้ฟิตเนสบอลเป็นตัวช่วย
          การนั่งบนลูกบอลฟิตเนสลูกโต ๆ แม้จะลำบากเอาการกว่าจะทรงตัวบนลูกบอลได้ แต่ลำบากอย่างนี้แหละค่ะ จะช่วยให้เราเกร็งกล้ามเนื้อบริเวณท้องไปโดยอัตโนมัติ เพราะฉะนั้น เวลาที่คุณสาว ๆ นั่งดูทีวี ก็ลองเปลี่ยนเก้าอี้มาเป็นลูกบอลฟิตเนสดูดีกว่า รับรองว่าหน้าท้องหายไปแน่นอน ถ้าจะให้เห็นผลยิ่งขึ้น ลองหลับตาด้วยขณะทรงตัวบนลูกบอล เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อทำงานหนักขึ้นในการรักษาความสมดุลนั่นเอง

2.เล่นโยคะ
          การเล่นโยคะนอกจากจะช่วยให้ร่างกายสมดุล มีสุขภาพดีแล้ว บางท่าของโยคะยังสามารถลดหน้าท้องได้ด้วย โดยขั้นแรกให้นอนหงาย มือประสานกันใต้ศีรษะ วางเท้าชิด จากนั้หายใจเข้า หายใจออก ยกลำตัว ยกขาซ้ายขึ้น 45 องศา ขาตรง ไม่งอเข่า เกร็งหน้าท้อง ไม่กลั้นหายใจ ค้างไว้ แล้วหายใจเข้า-ออก 5–10 วินาทีก่อนวางขาลง จากนั้นให้ทำสลับกับขาขวาเช่นเดียวกัน ทำซ้ำไปมา 2-3 ครั้ง แล้วให้หายใจเข้า หายใจออก ยกทั้งสองขาและลำตัวค้างไว้ หายใจเข้าออก 10 วินาที แล้วลดลง
3.มาเต้นกันดีกว่า
          ทราบไหมคะว่า การเต้นหนึ่งชั่วโมงจะสามารถเผาผลาญได้ถึง 400 แคลอรี่ แถมยังจะช่วยให้คุณสาว ๆ มีเชฟเป็นทรวดเป็นทรงมากขึ้นด้วย หรือใครอยากลดหน้าท้องจริง ๆ ก็หัดเต้น Belly Dance ไปเลยค่ะ

4.แขม่วหน้าท้อง
          แขม่วท้องเป็นการออกกำลังกายง่าย ๆ ที่สามารถทำได้ตลอดเวลา แถมยังช่วยบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้อง ช่วยให้ร่างกายใช้พลังงานตลอดเวลาด้วย ลองแขม่วท้องให้ติดเป็นนิสัยดูสิ รับรองว่ากล้ามเนื้อจะกระชับขึ้น แถมยังช่วยให้ขับถ่ายสะดวกขึ้นด้วยล่ะ

5.ซิทอัพ+ออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ
          หลายคนเข้าใจว่า การซิทอัพจะช่วยให้หน้าท้องแบนเรียบ แต่จริง ๆ แล้ว การซิทอัพแค่ช่วยสร้างกล้ามเนื้อหน้าท้องเท่านั้นเองค่ะ แต่ไขมันยังคงอยู่ เพราะฉะนั้น ควรซิทอัพผสมกับการออกกำลังแบบคาร์ดิโอ เช่น วิ่งจ้อกกิ้ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน 3 วันต่อสัปดาห์ เพื่อให้ร่างกายได้เผาผลาญไขมันออกไป

6.นอนให้เร็วขึ้น
          รู้ไหมคะว่า การเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำไม่ให้เกิน 4 ทุ่ม จะทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่ช่วยเผาผลาญพลังงานออกมา เป็นวิธีที่จะช่วยกำจัดไขมันส่วนเกินออกได้อย่างง่ายดาย และถ้าจะให้ดี ควรนอนหลับให้ได้ไม่ต่ำกว่า 6 ชั่วโมงต่อวันด้วยล่ะ


ที่มา http://health.kapook.com

'ทานาคา' เคล็ด(ไม่)ลับ ผิวสุขภาพดีสไตล์พม่า

Posted by All วันเสาร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2556 0 ความคิดเห็น


พม่า ประเทศเพื่อนบ้านและเป็นหนึ่งในชาติสมาชิกอาเซียน มีของดีของเด่นอย่างหนึ่งที่ใช้แล้วช่วยให้สุขภาพผิวดี นั่นคือ ทานาคา หรือบางคนเรียก ตานาคา (Thanakha) เป็นแป้งที่ชาวพม่าใช้ผลัดหน้า ทาตัว เพราะเชื่อว่าช่วยบำรุงรักษาผิวพรรณให้นวลเนียนขาวผ่อง ป้องป้องผิวจากแสงแดด ให้ความรู้สึกเย็นสบายผิว แก้ผดผื่นคัน และรักษาสิว


แป้งทานาคา มีที่มาจากต้นทานาคา ซึ่งมีมากในแถบตอนกลางของพม่า การนำมาใช้ทำแป้งนิยมเลือกต้นที่มีอายุราวๆ 35 ปี ตัดเป็นท่อนๆ ขนาดพอดีมือ แล้วใช้ส่วนของเปลือกไม้ไปฝนหรือบดกับหินขัดพร้อมพรมน้ำเป็นระยะ จะได้ออกมาเป็นแป้งสีออกขาวเหลือง ใช้ทาหน้า ทาตัว ถือเป็นวิธีดั้งเดิม


แต่ปัจจุบันมีการผลิตออกมาเป็นแป้งพร้อมใช้ บรรจุเป็นกระปุกเล็กๆ ทั้งยังมีการพัฒนาออกเป็นกลิ่นต่างๆ เช่น กลิ่นมะลิ กุหลาบ พิกุล นอกจากนี้ยังมีการนำทานาคาไปเป็นส่วนผสมของสบู่ ครีม และผลิตภัณฑ์บำรุงผิวต่างๆ


แป้งทานาคา เป็นที่นิยมในพม่ามานานกว่าสองพันปี แม้แต่คนต่างชาติที่ได้เดินทางไปพม่าก็มักจะซื้อกลับไปเป็นของใช้ของฝาก เนื่องจากราคาไม่แพง และหวังจะมีผิวสวยๆ อย่างชาวพม่ากันบ้าง


ที่มา: www.dailynews.co.th

อาหารต้องห้ามสำหรับคนท้อง

Posted by All วันศุกร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2556 0 ความคิดเห็น
ช่วงตั้งครรภ์คุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับอาหารการกิน จะกินอะไรแต่ละอย่างคิดแล้วคิดอีกว่าจะมีประโยชน์หรือโทษต่อลูกน้อยในครรภ์  ด้วยเหตุนี้จึงมีคำถามตามมาว่าแล้วอาหารอะไรล่ะที่ควรกินหรือไม่ควรกิน
  
นพ.กฤษดา  ศิรามพุช ผอ.ศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ  กล่าวว่า  อาหารที่ควรกินในช่วงตั้งครรภ์ มีดังนี้
  
ปลา ถ้าเป็นไปได้อยากให้เน้นปลาทะเล ปลาตัวเล็กดีกว่าปลาตัวใหญ่ เช่น ปลาทู เนื่องจากปลาตัวใหญ่อาจมีสารตะกั่ว สารปรอท สารพีซีบี โลหะหนัก ปนเปื้อนและไปสะสมที่สมองลูกได้
  
ไข่ไก่ ไข่เป็ด มีโปรตีนสูงแต่ควรหลีกเลี่ยงไข่ดิบ ไข่ลวก เพราะอาจทำให้ลำไส้ติดเชื้อซาลโมเนลล่า และที่คุณแม่มักจะมองข้ามคือ น้ำสลัดซึ่งใช้ไข่ดิบทำควรหลีกเลี่ยงเช่นกัน
  
มะเขือเทศ  มี “ไลโคปีน”, “แคล เซียม” และ “แมกนีเซียม” เป็นประโยชน์และดีกับหญิงตั้งครรภ์
  
คะน้า ในคะน้าหรือพืชตระกูลคะน้า เช่น บรอกโคลี กะหล่ำปลี ผักขม  มี “โฟลิก”ช่วยสร้างสมองทารกในครรภ์
  
ข้าวโพดม่วง มันม่วง องุ่น มีซูเปอร์วิตามิน “โอพีซี” ต้านอนุมูลอิสระ เนื่องจากช่วงตั้งครรภ์ภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอ การได้รับสารต้านอนุมูลอิสระจะเหมือนมีอีกมือช่วยต้านโรค
  
ข้าวกล้องงอก จมูกข้าวสาลี  มีสังกะสีช่วยเม็ดเลือดขาว เป็นเหมือนปราการป้องกันเชื้อ
  
เห็ด ทุกชนิด แต่เน้นเห็ดหอม โดยเฉพาะเห็ดสดนำมาปรุงอาหาร เห็ดมีสารเบต้ากลูแคน เป็นเกราะเสริมภูมิคุ้มกันทั้งแม่และลูก
  
น้ำมะพร้าว ช่วยเรื่องผิวพรรณ และยังมีส่วนช่วยป้องกันเชื้อโรค เพราะมีกรดลอริก เหมือนในน้ำนมแม่ ช่วยป้องกันเชื้อ ต้านเชื้อได้
  
อาหารที่กล่าวมาทั้งหมด อยากให้กินอยู่เรื่อย ๆ สลับกันไป


  
ส่วนอาหารที่คุณแม่ควรหลีกเลี่ยงมีดังนี้
  
ปลาดิบ ปลาร้าดิบ  ไข่ลวก ไข่ดิบ น้ำสัตว์ดิบ  หอยนางรมสด  จะทำให้ได้รับเชื้อโรค พยาธิ
  
อาหารรสเผ็ดจัด  อาหารมัน ช่วงตั้งครรภ์อาจไปกระตุ้นทำให้กรดไหลย้อนได้ง่าย ดังนั้น  ส้มตำเผ็ด ๆ อาหารรสแซบ จัดจ้าน ควรหลีกเลี่ยง
  
อาหารสีจัดจ้าน  สีสังเคราะห์อาจมีการปนเปื้อนสารตะกั่ว โลหะหนัก ส่งผลต่อลูกน้อยในครรภ์
  
เนยเหลว อาจมีการปนเปื้อนเชื้อแบค ทีเรีย ทำให้คุณแม่มีปัญหาระบบลำไส้ ทางเดินอาหารติดเชื้อ ท้องอืด อาหารไม่ย่อย
  
น้ำผึ้ง ถ้าเป็นน้ำผึ้งสะอาดบริสุทธิ์กินได้ แต่ถ้าไม่บริสุทธิ์ มีการปนเปื้อนต้องระวังเชื้อโรคอาจทำให้ท้องเสีย อีกทั้งน้ำผึ้งมีสรรพคุณระบายอ่อน ๆ ดังนั้นต้องระวัง อย่ากินมากเกินไปเพราะจะทำให้ท้องเสียหรือถ่ายบ่อย
  
แอลกอฮอล์  เครื่องดื่มแอลกอฮอล์สามารถผ่านไปที่ตับแม่ ผ่านรกไปสู่ลูกโดย ตรง มีผลต่อสมองลูก ทำให้เด็กเกิดมาตัวเล็กหรือสติปัญญาด้อยกว่าปกติ
  
กาเฟอีน  มีอยู่ในชา กาแฟ โกโก้เข้มข้น น้ำอัดลม อาจบีบหัวใจคุณแม่ ทำให้ปัสสาวะเยอะ ปกติคุณแม่ตั้งครรภ์ก็ปัสสาวะเยอะอยู่แล้ว นอกจากนี้กาเฟอีนอาจส่งผลต่อเส้นเลือดบริเวณมดลูกและรก โดยส่งผลต่อการบีบตัวของหลอดเลือดหรือการไหลเวียนโลหิต
  
ยารักษาสิว  กรดวิตามินเอ กรดนี้จะอยู่ในร่างกายอย่างน้อย 6 เดือน ถ้ากินเข้าไปแล้วตั้งครรภ์ หรือตั้งครรภ์โดยไม่รู้ตัวแล้วกินเข้าไปลูกอาจได้รับกรดวิตามินเอ 
  
ท้ายนี้ยังมีข้อแนะนำสำหรับหญิงตั้งครรภ์ที่ท้องอืด ควรทานเต้าฮวย น้ำขิง  มันต้มน้ำขิง หรือโยเกิร์ต จะช่วยลดอาการท้องอืดได้

ที่มา

เกิดอะไร กับสตรีวัยหมดระดู

Posted by All วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2556 0 ความคิดเห็น



หลายคนคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า คุณสุภาพสตรีเมื่อมีอายุมาก ก็จะมีวัยหนึ่งที่เรียกว่า “เลือดจะไปลมจะมา” ซึ่งผู้พูดคงจะให้ความหมายของคำว่าเลือดจะไปก็คือ สตรีวัยที่เลือดประจำเดือนหรือเลือดระดูกำลังจะหมดไป ส่วนลมจะมาก็คืออารมณ์ที่แปรปรวน (ไปในทางลบ) ในขณะที่ประจำเดือนเริ่มมีความเปลี่ยนแปลงอาจมาไม่สม่ำเสมอและลดน้อยลง
  
ตัวผมเองไม่ได้มีความรู้ในเรื่องนี้มากเท่าใดนัก แต่จากการได้พูดคุยกับ “ศ.นพ.นิมิต เตชไกรชนะ” หัวหน้าหน่วยวิจัยสตรีวัยหมดระดู ภาควิชาสูติศาสตร์–นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในรายการสุขภาพดี 4 วัย ซึ่งผมรับหน้าที่เป็นพิธีกรอยู่นั้น ได้ความรู้ที่มีประโยชน์มากมาย จึงนำเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟังครับ
    
คุณหมอนิมิตอธิบายว่า คุณสุภาพสตรีที่เข้าใกล้วัยหมดระดูหรือหมดประจำเดือน ก็จะเริ่มมีประจำเดือนไม่ปกติ ที่เป็นเหตุนั้นก็เพราะฮอร์โมนในร่างกายเริ่มแกว่งขึ้น ๆ ลง ๆ ช่วงนี้เองจะทำให้คุณผู้หญิงเริ่มมีอารมณ์ที่ไม่ค่อยปกติ บางคนก็อาจจะมีอาการร้อนวูบวาบในตอนกลางคืน บ้างก็หลับ ๆ ตื่น ๆ ทำให้ในตอนเช้าอาจจะมีสมาธิไม่ค่อยดี หลง ๆ ลืม ๆ อารมณ์ไม่ค่อยมั่นคง และโกรธง่าย โมโหง่าย เป็นต้น
  
ต้องบอกว่าจริง ๆ แล้ว คุณผู้หญิงนั้นจะมีช่วงที่ร่างกายเปลี่ยนผ่านอยู่ 3 ช่วงด้วยกัน ช่วงแรก คือช่วงเริ่มเข้าวัยสาวเริ่มมีประจำเดือน ตอนนั้นฮอร์โมนก็จะเริ่มเปลี่ยนแปลง ในระยะนั้นอารมณ์ก็จะไม่ค่อยคงเส้นคงวา
  
ช่วงที่ 2 คือระหว่างตั้งครรภ์ 3 เดือนแรกก็จะเริ่มมีอารมณ์หวั่นไหวง่าย พอหลังคลอดฮอร์โมนลดลงก็จะมีอาการซึมเศร้า ก็เป็นระยะที่อารมณ์หวั่นไหวอีกช่วงหนึ่ง
  
ช่วงที่ 3 คือเข้าวัยทอง เป็นช่วงที่ฮอร์โมนขึ้น ๆ ลง ๆ ประจำเดือนค่อย ๆ ลดลงจนหมด ก็เป็นอีกระยะหนึ่งที่อาจมีปัญหาได้
  
เพราะฉะนั้นใครที่พูดว่าผู้หญิงนั้นเจ้าอารมณ์ ผมคงต้องบอกว่าเขาไม่ได้แกล้งทำนะครับ แต่เพราะฮอร์โมนทำให้เป็นเช่นนั้น เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ผู้อยู่ใกล้ชิดจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจครับ เพราะแต่ละคนก็มีความเครียดและมีเรื่องเข้ามากระทบตลอดเวลา ซึ่งในสถานการณ์ปกติเขาจะสามารถรับมือและจัดการกับมันได้ เพียงแต่ในช่วงที่ฮอร์โมนร่างกายเริ่มเปลี่ยนแปลงจะทำให้เกิดความรู้สึกเปราะบางและควบคุมตัวเองได้ยากขึ้น ตรงนี้ถ้าคนที่อยู่รอบข้างเข้าใจก็จะรู้ว่ามันเป็นระยะเปลี่ยนผ่านที่ทำให้ควบคุมตัวเองได้ยาก...แต่สิ่งสำคัญเหนืออื่นใดคือเจ้าตัวจะต้องรู้ตัวเองว่ากำลังไม่ปกติ สามารถจับอารมณ์ตัวเองได้ รู้ตัวเองว่ากำลังจะโมโหหรือแสดงอารมณ์ออกมามากเกินไปหรือไม่ แบบนี้จะทำให้สามารถควบคุมตัวเองได้ง่ายขึ้น ส่งผลกระทบกับบุคคลใกล้ตัวน้อยลง
  
การที่ฮอร์โมนลดลงส่งผลต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกายได้ถึง 4 ระบบด้วยกันคือ
  
1. ระบบประสาทอัตโนมัติ ซึ่งจะทำให้ผู้หญิงมีอาการร้อนวูบวาบ เหงื่อออกมากตอนกลางคืน เป็นต้น
  
2. ระบบที่มีผลต่อจิตใจและอารมณ์ เช่น อาจทำให้เกิดอาการซึมเศร้า โกรธง่าย คุมตัวเองไม่ได้ ไม่กล้าอยู่คนเดียว บางครั้งผุดลุกผุดนั่ง วิตกกังวล บางรายอาจมีอาการหลง ๆ ลืม ๆ ไปบ้าง เพราะในช่วงกลางคืนมีอาการหลับ ๆ ตื่น ๆ ทำให้เช้าขึ้นมามีสมาธิที่ไม่ค่อยดี หงุดหงิดง่าย พานให้หลง ๆ ลืม ๆ ไปได้ชั่วขณะ ซึ่งมิได้เกี่ยวข้องหรือเป็นอาการเริ่มต้นของโรคอัลไซเมอร์แต่อย่างใด
  
3. ระบบทางเดินปัสสาวะและระบบสืบพันธุ์ คือจะมีช่องคลอดแห้ง หรืออาจติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้ง่าย เป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบบ่อย
  
4. กลุ่มอาการทั่ว ๆ ไป เช่น มือเท้าชา ผิวแห้ง เหมือนแมลงไต่ตามตัว
  
ที่กล่าวมาทั้ง หมดนี้ยังไม่รวมถึงผลในระยะยาวที่ได้ยินกันบ่อยและกลัวกันมากก็คือเรื่อง “โรคกระดูกพรุน” ครับ ศ.นพ.นิมิต ให้ความเห็น ทั้งนี้เนื่องจากในร่างกายคนเราจะมีกระบวนการสลายกระดูกเก่าโดยใช้เวลาประมาณ 3– 6 สัปดาห์ จากนั้นจะมีเซลล์อีกหนึ่งตัวที่มาช่วยเสริมสร้างกระดูกใหม่ ซึ่งการสร้างนี้ใช้เวลา 3–6 เดือน ในช่วงอายุน้อย ๆ การสร้างกระดูกจะมากกว่าการสลาย ทำให้มวลกระดูกของคนเราค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนอายุ 30 ปีจะมีมวลกระดูกสูงที่สุด จากนั้นจะค่อย ๆ ลดลง ซึ่งในผู้หญิงวัยสาวร่างกายจะมีฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นตัวยับยั้งไม่ให้เซลล์สลายกระดูกทำงานถี่เกินไป จึงช่วยรักษาสมดุลระหว่างการสลายกระดูกเก่าและเสริมสร้างกระดูกใหม่ แต่เมื่อเข้าวัยทองร่างกายขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน เซลล์สลายกระดูกก็จะทำงานเร็วขึ้น การสร้างกระดูกไม่ทัน ผลก็คือโรคกระดูกพรุนถามหาครับ
  
แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้หญิงทุกคนที่เข้าสู่วัยทองจะต้องมีโรคกระดูกพรุนนะครับ อันนี้ขึ้นกับพฤติกรรมสุขภาพ เช่น ถ้าในวัยสาวเรามีพฤติกรรมสุขภาพที่ดี สามารถสะสมมวลกระดูกได้สูง เมื่อเข้าวัยทองสูญเสียมวลกระดูกช้า ๆ โอกาสที่จะเกิดโรคกระดูกพรุนก็จะน้อย แต่ถ้าสาว ๆ ไม่ดูแลตัวเอง ปล่อยให้มีพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่เหมาะสม เช่น สูบบุหรี่ ดื่มสุรา ไม่ออกกำลังกาย ไม่โดนแดดบ้าง ก็จะทำให้มวลกระดูกเพิ่มขึ้นน้อย และพอเข้าวัยทองมีการสูญเสียมวลกระดูกเร็ว ก็จะมีโอกาสเกิดโรคกระดูกพรุนได้สูง
           
ในเรื่องการรักษาอาการของสตรีวัยทองทั้งอาการทางอารมณ์ และอาการทางกายอย่างโรคกระดูกพรุนนั้น คุณหมอนิมิตอธิบายให้ฟังว่า
           
“จริง ๆ แล้วอาการทางอารมณ์ของสตรีวัยทองที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากเรื่องของฮอร์โมนที่เริ่มแกว่ง ในกลุ่มนี้ถ้าจะไปพบจิตแพทย์เพื่อการบำบัดก็ไม่ได้ช่วยมากนัก ดังนั้นในช่วงแรกแพทย์ต้องดูว่าจะใช้ฮอร์โมนเพื่อช่วยปรับให้ระดับฮอร์โมนในร่างกายไม่แกว่งมากเกินไป ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้เวลา 1–2 เดือน ฮอร์โมนก็จะเข้าที่ จากนั้นถ้าคนไข้สามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้นและนิ่งขึ้นได้ใน 3 เดือน ก็จะเข้าสู่การรักษาขั้นที่ 2 คือการจัดการกับความเครียด เพราะสิ่งที่มากระทบจิตใจนั้นเป็นเรื่องสำคัญ จะสั่งให้ไม่เครียดก็คงไม่ได้ แต่วิธีการที่ดีและง่ายที่สุดก็คือการออกกำลังกาย ส่วนขั้นที่ 3 ซึ่งยากที่สุดก็คือการให้คนไข้ปรับบุคลิกภาพและการมองโลก เพราะ การมองโลกในแง่ลบนั้นมีผลกระทบต่ออารมณ์และความรู้สึกเป็นอย่างมาก ส่งผลให้อาการวัยทองเป็นมากขึ้นได้...การจัดการกับความเครียดหรือเปลี่ยนมุมมองนั้นอาจเป็นเรื่องยากสำหรับหลายคนครับ จึงมองว่าการทานยานั้นง่ายกว่า แต่ต้องบอกว่าถ้าจะรักษาที่ต้นตอของสาเหตุการหายจะถาวรกว่า เพราะผมไม่เชื่อว่าคนเราจะมีสุขภาพดีและแข็งแรงได้ถ้าอยู่กับยาไปตลอดชีวิต เพราะฉะนั้นการใช้ยาเป็นเพียงเครื่องมือในช่วงแรกที่ช่วยให้คนไข้กลับมาใกล้เคียงกับปกติได้ก่อน แต่หลังจากนั้นการฝึกตัวเองจะช่วยให้ควบคุมและอยู่กับอาการวัยทองไปจนตลอดรอดฝั่งได้”
  
ถึงตรงนี้หลายคนสงสัยว่าถ้าเกิดโรคกระดูกพรุนขึ้นแล้วจะรักษาอย่างไร สิ่งแรกเลยก็คือต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพครับ เช่น คนที่เคยสูบบุหรี่ ดื่มสุรา หรือดื่มกาแฟมากเกินไป ไม่ออกกำลังกาย ไม่ออกไปสัมผัสกับแสงแดดบ้าง ก็ต้องปรับเปลี่ยนครับ แต่ในรายที่กระดูกพรุนมาก ๆ แล้ว ก็จำเป็นต้องใช้ยาครับ ซึ่งข้อเสียของยาก็คือมีราคาแพง ต้องใช้ต่อเนื่องระยะยาว และมีผลข้างเคียง ดังนั้นถ้าเป็นไปได้เริ่มต้นป้องกันตั้งแต่ก่อนกระดูกจะพรุนจะดีกว่าครับ
  
จริง ๆ แล้วถ้าคนเรามีความรู้ทางด้านสุขภาพพอประมาณ เราก็สามารถเป็นหมอให้ตัวเองได้ เพราะไม่มีหมอคนไหนรู้จักเราและรักเราเท่ากับตัวเราเอง เพราะฉะนั้นการมีความรู้ด้านการป้องกันและส่งเสริมสุขภาพนั้น จะทำให้เราสามารถดูแลตัวเองได้ตั้งแต่ต้น แต่ถ้าเราปล่อยจนเป็นโรคร้ายแรงแล้ว ตรงนั้นต้องไปหาหมอแล้วล่ะครับ และต้องหาหมอที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง แน่นอนว่าค่าใช้จ่ายก็จะสูงมากตามไปด้วย เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างทั้งการกินการอยู่การใช้ชีวิต ถ้าเราเริ่มต้นดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้...ดีกว่ามารักษาในวันหน้าแน่นอนครับ.
หลายคนคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า คุณสุภาพสตรีเมื่อมีอายุมาก ก็จะมีวัยหนึ่งที่เรียกว่า “เลือดจะไปลมจะมา” ซึ่งผู้พูดคงจะให้ความหมายของคำว่าเลือดจะไปก็คือ สตรีวัยที่เลือดประจำเดือนหรือเลือดระดูกำลังจะหมดไป ส่วนลมจะมาก็คืออารมณ์ที่แปรปรวน (ไปในทางลบ) ในขณะที่ประจำเดือนเริ่มมีความเปลี่ยนแปลงอาจมาไม่สม่ำเสมอและลดน้อยลง
  
ตัวผมเองไม่ได้มีความรู้ในเรื่องนี้มากเท่าใดนัก แต่จากการได้พูดคุยกับ “ศ.นพ.นิมิต เตชไกรชนะ” หัวหน้าหน่วยวิจัยสตรีวัยหมดระดู ภาควิชาสูติศาสตร์–นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในรายการสุขภาพดี 4 วัย ซึ่งผมรับหน้าที่เป็นพิธีกรอยู่นั้น ได้ความรู้ที่มีประโยชน์มากมาย จึงนำเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟังครับ
    
คุณหมอนิมิตอธิบายว่า คุณสุภาพสตรีที่เข้าใกล้วัยหมดระดูหรือหมดประจำเดือน ก็จะเริ่มมีประจำเดือนไม่ปกติ ที่เป็นเหตุนั้นก็เพราะฮอร์โมนในร่างกายเริ่มแกว่งขึ้น ๆ ลง ๆ ช่วงนี้เองจะทำให้คุณผู้หญิงเริ่มมีอารมณ์ที่ไม่ค่อยปกติ บางคนก็อาจจะมีอาการร้อนวูบวาบในตอนกลางคืน บ้างก็หลับ ๆ ตื่น ๆ ทำให้ในตอนเช้าอาจจะมีสมาธิไม่ค่อยดี หลง ๆ ลืม ๆ อารมณ์ไม่ค่อยมั่นคง และโกรธง่าย โมโหง่าย เป็นต้น
  
ต้องบอกว่าจริง ๆ แล้ว คุณผู้หญิงนั้นจะมีช่วงที่ร่างกายเปลี่ยนผ่านอยู่ 3 ช่วงด้วยกัน ช่วงแรก คือช่วงเริ่มเข้าวัยสาวเริ่มมีประจำเดือน ตอนนั้นฮอร์โมนก็จะเริ่มเปลี่ยนแปลง ในระยะนั้นอารมณ์ก็จะไม่ค่อยคงเส้นคงวา
  
ช่วงที่ 2 คือระหว่างตั้งครรภ์ 3 เดือนแรกก็จะเริ่มมีอารมณ์หวั่นไหวง่าย พอหลังคลอดฮอร์โมนลดลงก็จะมีอาการซึมเศร้า ก็เป็นระยะที่อารมณ์หวั่นไหวอีกช่วงหนึ่ง
  
ช่วงที่ 3 คือเข้าวัยทอง เป็นช่วงที่ฮอร์โมนขึ้น ๆ ลง ๆ ประจำเดือนค่อย ๆ ลดลงจนหมด ก็เป็นอีกระยะหนึ่งที่อาจมีปัญหาได้
  
เพราะฉะนั้นใครที่พูดว่าผู้หญิงนั้นเจ้าอารมณ์ ผมคงต้องบอกว่าเขาไม่ได้แกล้งทำนะครับ แต่เพราะฮอร์โมนทำให้เป็นเช่นนั้น เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ผู้อยู่ใกล้ชิดจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจครับ เพราะแต่ละคนก็มีความเครียดและมีเรื่องเข้ามากระทบตลอดเวลา ซึ่งในสถานการณ์ปกติเขาจะสามารถรับมือและจัดการกับมันได้ เพียงแต่ในช่วงที่ฮอร์โมนร่างกายเริ่มเปลี่ยนแปลงจะทำให้เกิดความรู้สึกเปราะบางและควบคุมตัวเองได้ยากขึ้น ตรงนี้ถ้าคนที่อยู่รอบข้างเข้าใจก็จะรู้ว่ามันเป็นระยะเปลี่ยนผ่านที่ทำให้ควบคุมตัวเองได้ยาก...แต่สิ่งสำคัญเหนืออื่นใดคือเจ้าตัวจะต้องรู้ตัวเองว่ากำลังไม่ปกติ สามารถจับอารมณ์ตัวเองได้ รู้ตัวเองว่ากำลังจะโมโหหรือแสดงอารมณ์ออกมามากเกินไปหรือไม่ แบบนี้จะทำให้สามารถควบคุมตัวเองได้ง่ายขึ้น ส่งผลกระทบกับบุคคลใกล้ตัวน้อยลง
  
การที่ฮอร์โมนลดลงส่งผลต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกายได้ถึง 4 ระบบด้วยกันคือ
  
1. ระบบประสาทอัตโนมัติ ซึ่งจะทำให้ผู้หญิงมีอาการร้อนวูบวาบ เหงื่อออกมากตอนกลางคืน เป็นต้น
  
2. ระบบที่มีผลต่อจิตใจและอารมณ์ เช่น อาจทำให้เกิดอาการซึมเศร้า โกรธง่าย คุมตัวเองไม่ได้ ไม่กล้าอยู่คนเดียว บางครั้งผุดลุกผุดนั่ง วิตกกังวล บางรายอาจมีอาการหลง ๆ ลืม ๆ ไปบ้าง เพราะในช่วงกลางคืนมีอาการหลับ ๆ ตื่น ๆ ทำให้เช้าขึ้นมามีสมาธิที่ไม่ค่อยดี หงุดหงิดง่าย พานให้หลง ๆ ลืม ๆ ไปได้ชั่วขณะ ซึ่งมิได้เกี่ยวข้องหรือเป็นอาการเริ่มต้นของโรคอัลไซเมอร์แต่อย่างใด
  
3. ระบบทางเดินปัสสาวะและระบบสืบพันธุ์ คือจะมีช่องคลอดแห้ง หรืออาจติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้ง่าย เป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบบ่อย
  
4. กลุ่มอาการทั่ว ๆ ไป เช่น มือเท้าชา ผิวแห้ง เหมือนแมลงไต่ตามตัว
  
ที่กล่าวมาทั้ง หมดนี้ยังไม่รวมถึงผลในระยะยาวที่ได้ยินกันบ่อยและกลัวกันมากก็คือเรื่อง “โรคกระดูกพรุน” ครับ ศ.นพ.นิมิต ให้ความเห็น ทั้งนี้เนื่องจากในร่างกายคนเราจะมีกระบวนการสลายกระดูกเก่าโดยใช้เวลาประมาณ 3– 6 สัปดาห์ จากนั้นจะมีเซลล์อีกหนึ่งตัวที่มาช่วยเสริมสร้างกระดูกใหม่ ซึ่งการสร้างนี้ใช้เวลา 3–6 เดือน ในช่วงอายุน้อย ๆ การสร้างกระดูกจะมากกว่าการสลาย ทำให้มวลกระดูกของคนเราค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนอายุ 30 ปีจะมีมวลกระดูกสูงที่สุด จากนั้นจะค่อย ๆ ลดลง ซึ่งในผู้หญิงวัยสาวร่างกายจะมีฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นตัวยับยั้งไม่ให้เซลล์สลายกระดูกทำงานถี่เกินไป จึงช่วยรักษาสมดุลระหว่างการสลายกระดูกเก่าและเสริมสร้างกระดูกใหม่ แต่เมื่อเข้าวัยทองร่างกายขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน เซลล์สลายกระดูกก็จะทำงานเร็วขึ้น การสร้างกระดูกไม่ทัน ผลก็คือโรคกระดูกพรุนถามหาครับ
  
แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้หญิงทุกคนที่เข้าสู่วัยทองจะต้องมีโรคกระดูกพรุนนะครับ อันนี้ขึ้นกับพฤติกรรมสุขภาพ เช่น ถ้าในวัยสาวเรามีพฤติกรรมสุขภาพที่ดี สามารถสะสมมวลกระดูกได้สูง เมื่อเข้าวัยทองสูญเสียมวลกระดูกช้า ๆ โอกาสที่จะเกิดโรคกระดูกพรุนก็จะน้อย แต่ถ้าสาว ๆ ไม่ดูแลตัวเอง ปล่อยให้มีพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่เหมาะสม เช่น สูบบุหรี่ ดื่มสุรา ไม่ออกกำลังกาย ไม่โดนแดดบ้าง ก็จะทำให้มวลกระดูกเพิ่มขึ้นน้อย และพอเข้าวัยทองมีการสูญเสียมวลกระดูกเร็ว ก็จะมีโอกาสเกิดโรคกระดูกพรุนได้สูง
           
ในเรื่องการรักษาอาการของสตรีวัยทองทั้งอาการทางอารมณ์ และอาการทางกายอย่างโรคกระดูกพรุนนั้น คุณหมอนิมิตอธิบายให้ฟังว่า
           
“จริง ๆ แล้วอาการทางอารมณ์ของสตรีวัยทองที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากเรื่องของฮอร์โมนที่เริ่มแกว่ง ในกลุ่มนี้ถ้าจะไปพบจิตแพทย์เพื่อการบำบัดก็ไม่ได้ช่วยมากนัก ดังนั้นในช่วงแรกแพทย์ต้องดูว่าจะใช้ฮอร์โมนเพื่อช่วยปรับให้ระดับฮอร์โมนในร่างกายไม่แกว่งมากเกินไป ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้เวลา 1–2 เดือน ฮอร์โมนก็จะเข้าที่ จากนั้นถ้าคนไข้สามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้นและนิ่งขึ้นได้ใน 3 เดือน ก็จะเข้าสู่การรักษาขั้นที่ 2 คือการจัดการกับความเครียด เพราะสิ่งที่มากระทบจิตใจนั้นเป็นเรื่องสำคัญ จะสั่งให้ไม่เครียดก็คงไม่ได้ แต่วิธีการที่ดีและง่ายที่สุดก็คือการออกกำลังกาย ส่วนขั้นที่ 3 ซึ่งยากที่สุดก็คือการให้คนไข้ปรับบุคลิกภาพและการมองโลก เพราะ การมองโลกในแง่ลบนั้นมีผลกระทบต่ออารมณ์และความรู้สึกเป็นอย่างมาก ส่งผลให้อาการวัยทองเป็นมากขึ้นได้...การจัดการกับความเครียดหรือเปลี่ยนมุมมองนั้นอาจเป็นเรื่องยากสำหรับหลายคนครับ จึงมองว่าการทานยานั้นง่ายกว่า แต่ต้องบอกว่าถ้าจะรักษาที่ต้นตอของสาเหตุการหายจะถาวรกว่า เพราะผมไม่เชื่อว่าคนเราจะมีสุขภาพดีและแข็งแรงได้ถ้าอยู่กับยาไปตลอดชีวิต เพราะฉะนั้นการใช้ยาเป็นเพียงเครื่องมือในช่วงแรกที่ช่วยให้คนไข้กลับมาใกล้เคียงกับปกติได้ก่อน แต่หลังจากนั้นการฝึกตัวเองจะช่วยให้ควบคุมและอยู่กับอาการวัยทองไปจนตลอดรอดฝั่งได้”
  
ถึงตรงนี้หลายคนสงสัยว่าถ้าเกิดโรคกระดูกพรุนขึ้นแล้วจะรักษาอย่างไร สิ่งแรกเลยก็คือต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพครับ เช่น คนที่เคยสูบบุหรี่ ดื่มสุรา หรือดื่มกาแฟมากเกินไป ไม่ออกกำลังกาย ไม่ออกไปสัมผัสกับแสงแดดบ้าง ก็ต้องปรับเปลี่ยนครับ แต่ในรายที่กระดูกพรุนมาก ๆ แล้ว ก็จำเป็นต้องใช้ยาครับ ซึ่งข้อเสียของยาก็คือมีราคาแพง ต้องใช้ต่อเนื่องระยะยาว และมีผลข้างเคียง ดังนั้นถ้าเป็นไปได้เริ่มต้นป้องกันตั้งแต่ก่อนกระดูกจะพรุนจะดีกว่าครับ
  
จริง ๆ แล้วถ้าคนเรามีความรู้ทางด้านสุขภาพพอประมาณ เราก็สามารถเป็นหมอให้ตัวเองได้ เพราะไม่มีหมอคนไหนรู้จักเราและรักเราเท่ากับตัวเราเอง เพราะฉะนั้นการมีความรู้ด้านการป้องกันและส่งเสริมสุขภาพนั้น จะทำให้เราสามารถดูแลตัวเองได้ตั้งแต่ต้น แต่ถ้าเราปล่อยจนเป็นโรคร้ายแรงแล้ว ตรงนั้นต้องไปหาหมอแล้วล่ะครับ และต้องหาหมอที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง แน่นอนว่าค่าใช้จ่ายก็จะสูงมากตามไปด้วย เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างทั้งการกินการอยู่การใช้ชีวิต ถ้าเราเริ่มต้นดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้...ดีกว่ามารักษาในวันหน้าแน่นอนครับ


ที่มา
  • นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์
  • www.dailynews.co.th

วิธีลดความอ้วน 9 สูตรลดน้ำหนัก สำหรับสาวอยากผอม

Posted by All วันพุธที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2556 0 ความคิดเห็น

ความอ้วนกับสาว ๆ ดูเหมือนจะเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันเลยใช่ไหมล่ะคะ ยิ่งถ้าเกิดใครมาทักว่า "นี่เธอดูอ้วนขึ้นรึเปล่าเนี่ย" คงจะถึงขั้นตัดเพื่อนตัดพี่น้องกันเลยทีเดียว อิอิ แต่ไม่ต้องกังวลไปหรอก เพราะวันนี้เรารวบรวม สูตรลดน้ำหนัก เคล็ดลับ วิธีลดความอ้วน ภายในช่วงเวลาที่เราต้องการ ตั้งแต่ 3 วัน ถึง 1 เดือน มาฝากสาว ๆ ด้วย เอ้า...ไหนมาดูซิ ว่ามี สูตรน้ำหนัก อะไรน่าสนใจบ้างเอ่ย

สูตรลดน้ำหนัก สูตรที่ 1: สูตรลดน้ำหนัก ของสมเด็จพระเทพฯ
      เป็นสูตรลดน้ำหนัก 7 วัน ค่ะ โดยก่อนรับประทานอาหาร ให้ดื่มน้ำก่อน 2 แก้ว และจัดอาหารแต่ละมื้อ ดังนี้
 วันที่ 1
          มื้อเช้า : น้ำผลไม้ หรือโยเกริต์
          มื้อกลางวัน : ไข่ต้มสองฟอง
          มื้อเย็น : สลัดผัก
 วันที่ 2
          มื้อเช้า : น้ำผลไม้หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลไม่ใส่ครีม
          มื้อกลางวัน : ไข่ต้มสองฟอง
          มื้อเย็น : โยเกิรต์
 วันที่ 3
          มื้อเช้า : โยเกิรต์หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลไม่ใส่ครีม
          มื้อกลางวัน : เกาเหลาลูกชิ้นหมู
          มื้อเย็น : สับปะรด 1 ชิ้น
 วันที่ 4
          มื้อเช้า : ขนมปัง 1 แผ่น น้ำผลไม้หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลไม่ใส่ครีม
          มื้อกลางวัน : สลัดผักและไก่ย่าง 1 ชิ้น
          มื้อเย็น : โยเกิรต์
 วันที่ 5
          มื้อเช้า : น้ำผลไม้หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลไม่ใส่ครีม
          มื้อกลางวัน : ส้มตำและไก่ย่าง 1 ชิ้น
          มื้อเย็น : สลัดผัก
 วันที่ 6
          มื้อเช้า : น้ำผลไม้หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลไม่ใส่ครีม
          มื้อกลางวัน : ปลานึ่งหรือปลาเผา
          มื้อเย็น : นมสด
 วันที่ 7
          มื้อเช้า : ข้าวสวย 1 ทัพพี และหมูย่าง 1 ชิ้น หรือ ข้าวสวย 1 ทัพพี และไข่ต้ม 1 ลูก
          มื้อกลางวัน : เกาเหลาลูกชิ้นหมู
          มื้อเย็น : สับปะรด 1 ชิ้น
         ส่วนวันที่แปด มื้อเช้า มื้อกลางวัน มื้อเย็น สามารถรับประทานอาหารอะไรก็ได้ตามใจชอบ แต่ถ้าอยากลดน้ำหนักต่อให้เริ่มรับประทานเหมือนที่ทำตั้งแต่วันแรกค่ะ

 สูตรลดน้ำหนัก สูตรที่ 2  : สูตรลดน้ำหนัก 3 วัน
         โดยทั้งสามวัน คุณสาว ๆ ต้องดื่มน้ำ 2 แก้ว ก่อนรับประทานอาหารทุกมื้อค่ะ และต้องรับประทานอาหารดังนี้
 วันที่ 1  
         ตื่นมา ถ่ายให้หมด และ ดื่มน้ำสะอาด  1 ลิตร
          มื้อเช้า : ขนมปังปิ้งจนแห้ง + ส้มขนาดกลางหวานไม่มาก + ดื่มชา หรือกาแฟ ไม่มีน้ำตาล
          มื้อกลางวัน : ไอศกรีม รสวนิลา 1 ลูก +แครอท น้ำบุรูท ประมาณ 50 กรัม + ดื่มชา หรือกาแฟ ไม่มีน้ำตาล
          มื้อเย็น : ปลาทูน่า + มะเขือเทศ สีดา 1 ผล + ดื่มชา หรือกาแฟ ไม่มีน้ำตาล
 วันที่ 2
        
          มื้อเช้า :แก้วมังกร + แฮม 2 แผ่น + ดื่มชา หรือกาแฟ ไม่มีน้ำตาล
          มื้อกลางวัน :ไข่ต้มกินไข่ขาว + ถั่วฝักยาว ต้ม + ดื่มชา หรือกาแฟ ไม่มีน้ำตาล
          มื้อเย็น : ผักกาดต้ม + แคนตาลูบ ต้ม + ดื่มชา หรือกาแฟ ไม่มีน้ำตาล
 วันที่ 3
          มื้อเช้า : ปลาทูน่า + ส้มเขียวหวาน ขนาดเล็ก 1 ผล + ดื่มชา หรือกาแฟ ไม่มีน้ำตาล
          มื้อกลางวัน :แกงส้ม กินแต่ผัก + กินเปลือกกุ้ง + ดื่มชา หรือกาแฟ ไม่มีน้ำตาล
          มื้อเย็น : ขนมปังปิ้งจนแห้ง + ลูกพรุนแห้ง 2 ผล + ดื่มชา หรือกาแฟ ไม่มีน้ำตาล
         ระหว่างนี้ห้ามทานของมัน หรือของทอดเด็ดขาด หลังจากรับประทานครบ 3 วันแล้ว สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ

สูตรลดน้ำหนัก สูตรที่ 3: สูตรลดน้ำหนัก 3 วัน
         นี่ก็เป็นสูตรลดน้ำหนัก 3 วัน อีกเช่นกัน สำหรับสาวใจร้อน อยากลดน้ำหนักเร็ว ๆ โดยทั้งสามวัน คุณสาว ๆ ต้องรับประทานอาหารดังนี้
 วันที่ 1
          มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล ส้มโอ 1/2 ผล ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น ถั่วเหลืองในซอสมะเขือเทศ
          มื้อกลางวัน : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล ปลาทูน่า 4 ออนซ์ (ประมาณ 115 กรัม)  ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น
          มื้อเย็น : แฮม 2 แผ่น ถั่วฝักยาวต้ม 4 ออนซ์ ไอศกรีมวนิลา 4 ออนซ์ บีทรูทต้ม 4 ออนซ์
   
 วันที่ 2
          มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น ไข่ต้ม 1 ฟอง กล้วยหอม 1/2 ผล
          มื้อกลางวัน : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล แคร๊กเกอร์ (แบบเค็ม) 5 แผ่น Coltage Cheese (คล้ายโยเกิร์ต) 120 กรัม
          มื้อเย็น : แฮม 2 แผ่น บร็อคคอลรี่ต้ม 4 ออนซ์ แครอทต้ม 4 ออนซ์ ไอศกรีมวนิลา 4 ออนซ์ กล้วยหอม 1/2 ผล
   
 วันที่ 3
          มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล แคร๊กเกอร์ (แบบเค็ม) 5 แผ่น Cheddar Cheese 1 แผ่น แอ๊ปเปิ้ล 1 ผล
          มื้อกลางวัน : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น ไข่ต้ม 1 ฟอง
          มื้อเย็น : ปลาทูน่า 4 ออนซ์ บีทรูทต้ม 4 ออนซ์ ไอศกรีมวนิลา 4 ออนซ์ ดอกกระหล่ำต้ม 4 ออนซ์ แคนตาลูป 1/2 ผล
หมายเหตุ
          1. ขนมปังปิ้งต้องปิ้งจนแห้ง ห้ามทาเนยหรือมาการีน
          2. แคร๊กเกอร์ต้องเป็นรสเค็ม
          3. ปลาทูน่าและถั่วฝักยาวสามารถแช่แข็งได้
          4. อาหารชุดนี้จะทำปฏิกิริยาทางเคมีซึ่งกันและกัน และพิสูจน์ได้
ข้อห้าม
          1. ห้ามเปลี่ยนแปลงหรือทดแทนอาหารอื่น ห้ามใช้เครื่องปรุงอื่น นอกจากเกลือและพริกไทย
          2. รายการใดที่ไม่ได้กำหนดไว้ชัดเจน ให้ใช้วิจารณญาณตามความเหมาะสม
         สูตรอาหารนี้ให้ใช้ติดต่อกัน 3 วัน ภายใน 3 วัน ควรลดน้ำหนักได้ 10 ปอนด์ หรือประมาณ 4.5 กิโลกรัม หลังจาก 3 วัน สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติค่ะ

 สูตรลดน้ำหนัก สูตรที่ 4 : สูตรลดน้ำหนัก 7 วัน
         สาว ๆ ที่สนใจ สูตรลดน้ำหนัก 7 วัน ควรจัดอาหารรับประทานดังนี้
 วันที่ 1
          มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล
          มื้อกลางวัน : ไข่ต้ม 2 ฟอง กับผักต้ม
          มื้อเย็น : สเต็กกับสลัดผักน้ำใส และผลไม้
 วันที่ 2
          มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลกับขนมปังโฮลวีต 1 แผ่น
          มื้อกลางวัน : สเต็กหรือเนื้อหมู เนื้อวัวย่างก็ได้ กับสลัดผักเขียวและผลไม้
          มื้อเย็น : แฮมแผ่นต้มปริมาณเท่าใดก็ได้
 วันที่ 3
          มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลกับขนมปังโฮลวีต 2 แผ่น
          มื้อกลางวัน : ไข่ต้ม 2 ฟอง และสลัดกับแครอท
          มื้อเย็น : แฮมแผ่นต้มปริมาณเท่าใดก็ได้
 วันที่ 4
          มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลกับขนมปังโฮลวีต 1 แผ่น
          มื้อกลางวัน : ไข่ต้ม 1 ฟองกับแครอทต้ม
          มื้อเย็น : ผลไม้และโยเกิร์ตรสธรรมชาติ
 วันที่ 5
          มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล
          มื้อกลางวัน : ปลาเผาหรือปลาย่างกับผักต้ม
          มื้อเย็น : สเต็ก หรือเนื้อย่างไม่ติดมัน กับสลัดผักสดน้ำใส
 วันที่ 6
          มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล
          มื้อกลางวัน : ไก่ย่างไม่ติดหนัง
          มื้อเย็น : ไข่ต้ม 2 ฟอง กับแครอทต้ม
 วันที่ 7
          มื้อเช้า : กาแฟหรือชาบีบมะนาว แต่ไม่ใส่น้ำตาล
          มื้อกลางวัน : ผลไม้อะไรก็ได้ในปริมาณต้องการ
          มื้อเย็น : อะไรก็ได้ทุกอย่างที่อยากทาน ไม่จำกัดปริมาณ

 สูตรลดน้ำหนัก สูตรที่ 5 : สูตรลดน้ำหนัก ใน 13 วัน
         มาลองดูกันหน่อย สูตรลดน้ำหนัก ใน 13 วันมีอะไรบ้างเอ่ย
 วันที่ 1
          มื้อเช้า : กาแฟดำ 1 ถ้วย
          มื้อกลางวัน : ไข่ต้มแข็ง 2 ฟอง /ผักกาดต้ม 3 ขีด /มะเขือเทศสด 1 ผล
          มื้อเย็น : เนื้อไก่อบ 2 ขีด /สลัด /น้ำมะนาว
 วันที่ 2
          มื้อเช้า : กาแฟดำ 1 ถ้วย
          มื้อกลางวัน : เนื้อหมูอบ 2.5 ขีด /โยเกริ์ต 1 ถ้วย
          มื้อเย็น: เนื้อไก่อบ 2 ขีด /สลัด /น้ำมะนาว /ผลไม้ 1 ผล
 วันที่ 3
          มื้อเช้า : กาแฟดำ 1 ถ้วย/ ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น
          มื้อกลางวัน : ไข่ต้มแข็ง 2 ฟอง /เนื้อหมูอบ 1 ขีด / สลัด /น้ำมะนาว
          มื้อเย็น : คื่นช่ายต้มสุก 3 ขีด/ มะเขือเทศ 1 ผล /ผลไม้ 1 ผล
 วันที่ 4
          มื้อเช้า : กาแฟดำ 1 ถ้วย /ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น
          มื้อกลางวัน : น้ำส้มคั้น 1 แก้ว/ โยเกริ์ต 1 ถ้วย
          มื้อเย็น : ไข่ต้มแข็ง 1 ฟอง / แครอทสด 1 หัว/นมจืด 1 กล่อง
 วันที่ 5
          มื้อเช้า : แครอทสด 1 หัว(ราดด้วยน้ำมะนาว)
          มื้อกลางวัน : เนื้อปลากะพงนึ่ง 2 ขีด
          มื้อเย็น : เนื้อไก่อบ 2 ขีด /สลัด
 วันที่ 6
          มื้อเช้า : กาแฟดำ 1 ถ้วย/ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น
          มื้อกลางวัน : ไข่ต้มแข็ง 2 ฟอง/ แครอทสด 1 หัว
          มื้อเย็น : เนื้อไก่อบ 2 ขีด/ สลัด /น้ำมะนาว
 วันที่ 7
          มื้อเช้า : ชา 1 ถ้วยไม่ใส่น้ำตาล/ ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น
          มื้อกลางวัน : น้ำเปล่าอย่างเดียว
          มื้อเย็น : หมูอบ 2 ขีด / ผลไม้ 1 ผล
 วันที่ 8
          มื้อเช้า : กาแฟดำ 1 ถ้วย
          มื้อกลางวัน : ไข่ต้มแข็ง 2 ฟอง /ผักกาดต้ม 3 ขีด /มะเขือเทศสด 1 ผล
          มื้อเย็น : เนื้อไก่อบ 2 ขีด /สลัด /น้ำมะนาว
 วันที่ 9
          มื้อเช้า : กาแฟดำ 1 ถ้วย
          มื้อกลางวัน : เนื้อหมูอบ 2.5 ขีด /โยเกริ์ต 1 ถ้วย
          มื้อเย็น : เนื้อไก่อบ 2 ขีด /สลัด /น้ำมะนาว /ผลไม้ 1 ผล
 วันที่ 10
          มื้อเช้า : กาแฟดำ 1 ถ้วย/ ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น
          มื้อกลางวัน : ไข่ต้มแข็ง 2 ฟอง /เนื้อหมูอบ 1 ขีด / สลัด /น้ำมะนาว
          มื้อเย็น : คื่นช่ายต้มสุก 3 ขีด/ มะเขือเทศ 1 ผล /ผลไม้ 1 ผล
 วันที่ 11
          มื้อเช้า : กาแฟดำ 1 ถ้วย /ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น
          มื้อกลางวัน : น้ำส้มคั้น 1 แก้ว/ โยเกริ์ต 1 ถ้วย
          มื้อเย็น : ไข่ต้มแข็ง 1 ฟอง / แครอทสด 1 หัว/นมจืด 1 กล่อง
 วันที่ 12
          มื้อเช้า : แครอทสด 1 หัว(ราดด้วยน้ำมะนาว)
          มื้อกลางวัน : เนื้อปลากะพงนึ่ง 2 ขีด
          มื้อเย็น : เนื้อไก่อบ 2 ขีด /สลัด
 วันที่ 13
          มื้อเช้า : กาแฟดำ 1 ถ้วย/ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น
          มื้อกลางวัน : ไข่ต้มแข็ง 2 ฟอง/ แครอทสด 1 หัว
          มื้อเย็น : เนื้อไก่อบ 2 ขีด/ สลัด /น้ำมะนาว
สำหรับสูตรลดน้ำหนัก 13 วันนี้ มีข้อห้ามด้วยนะคะ สำคัญมาก ๆ คือ
          ใน 13 วันนี้ ห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เบียร์ เหล้า ไวน์ หมากฝรั่ง หรือขนมที่มีรสหวานเด็ดขาด
          หากเผลอทานนอกเหนือจากสูตร และต้องการจะเริ่มควบคุมอาหารใหม่อกครั้ง ต้องเริ่มทานสูตรนี้ใหม่ หลังจาก 6 เดือนไปแล้ว
          หากควบคุมอาหารตามสูตรได้แล้วถึงวันที่ 6 แต่ล้มเหลว จะสามารถเริ่มทานอาหารสูตรนี้ใหม่ได้ เมื่อผ่าน 3 เดือนไปแล้ว
          หากทานอาหารตามสูตรนี้ได้ครบ 13 วันแล้ว ยังต้องการจะควบคุมอาหารอีก ควรทำหลังจาก 1 ปีไปแล้ว หรือถ้าเลย 2 ปีไปได้ จะดีที่สุดค่ะ
นอกจากนี้ สูตรลดน้ำหนัก 13 วัน ยังมีรายละเอียดปริมาณอาหารที่กำหนดไว้คือ
          1.กาแฟดำ  ให้ใส่น้ำตาลได้ 1 ช้อน ถ้าไม่ใส่ได้ จะดีที่สุดค่ะ
          2.ผักต้ม ถ้าใช้ผักขมไทยได้จะดีมาก หรือถ้าหาไม่ได้ก็ใช้ผักกาดขาว หรือผักกวางตุ้งแทนก็ได้
          3.มะเขือเทศสด  ถ้าผลใหญ่ให้ทาน 1 ผล ถ้าผลเล็กให้ทาน 2-3 ผล
          4.เนื้อไก่อบ ใช้เนื้อสัน หรือเนื้อหน้าอกที่ไม่ติดมันหรือหนังเลย 2 ขีด ส่วนเนื้อหมูก็ต้องไม่ติดมันเลยเหมือนกัน
          5.สลัด ใช้ผักกาดหอม 1 ต้นเล็ก หอมใหญ่ 1 หัว แตงกวา 2 ลูก นำมาหั่นรวมกันจะได้ประมาณ 1 จาน แล้วราดด้วยน้ำสลัดใสเท่านั้น 1 ถ้วย (ประมาณ 3-4 ช้อนโต๊ะ)
          6.น้ำมะนาว ใช้มะนาวสด 1-2 ลูก คั้นเอาน้ำ แล้วชงน้ำร้อนใส่เกลือ (ใส่น้ำแข็งก็ได้)
          7.โยเกิร์ต รสจืด (รสธรรมชาติ) จะดีที่สุด
          8.ผลไม้สด 1 ผล ให้เลือกทานคือ ส้ม ชมพู่ แอปเปิ้ล ฝรั่ง หรือผลไม่ที่ไม่เป็นแป้งและต้องไม่หวาน
          9.ปลานึ่ง ใช้ปลาช่อนแทนปลากระพงได้ แต่ไม่ว่าปลาอะไรก็จะต้องไม่ติดหนังเลย
          10.ไข่ต้ม ต้องต้มให้สุกๆ เลยค่ะ
          11.น้ำเปล่า ดื่มได้ทั้งวัน วันละ 1-2 ลิตร ถ้าหิว..ให้ดื่มน้ำเปล่าได้อย่างเดียว "เท่านั้น" เพราะน้ำเปล่าสามารถดื่มได้ทั้งวัน เท่าไหร่ก็ได้ค่ะ

 สูตรลดน้ำหนัก สูตรที่ 6: สูตรลดน้ำหนัก ใน 2 สัปดาห์
         หากสาวใดคิดว่า 3 วัน 7 วัน เร็วไป กลัวไม่ได้ผลล่ะก็ มาลอง สูตรลดน้ำหนัก 2 สัปดาห์กันดีกว่า โดยตลอด 2 สัปดาห์ ให้จัดมื้ออาหาร และปฏิบัติตัวดังนี้
          1. มื้อเช้ากินไข่ต้ม 1 ฟองหรือโยเกิร์ต 1 ถ้วย
          2. มื้อกลางวันกินสลัดผัก 1 จาน หรือส้มตำ 1 จาน (อย่าปรุงรสหวานนะคะ)
          3. มื้อเย็นกินแอปเปิ้ล 1 ผล หรือแฮมนึ่ง 1 แผ่น
          4. งดอาหารหลัง 6 โมงเย็น ถ้าหิวให้ดื่มน้ำมากๆ แทน
          5. เต้นแอโรบิก 60 นาที 4 ครั้งต่อสัปดาห์
         ทำตามนี้ทุกวัน เป็นเวลา 2 สัปดาห์ รับรองว่า น้ำหนักส่วนเกินของคุณสาวๆ หายไปในพริบตาแน่นอน

 สูตรลดน้ำหนัก สูตรที่ 7  : สูตรลดน้ำหนัก ใน 2 สัปดาห์
         นี่ก็เป็น สูตรลดน้ำหนัก ในสองสัปดาห์อีกเช่นกัน โดยแต่ละวันให้จัดอาหาร คือ
 วันที่ 1
          มื้อเช้า : กาแฟไม่ใส่น้ำตาล
          มื้อกลางวัน : ไข่ต้ม 2 ฟอง และ ผักขมจีน นำไปทำอะไรก็ได้ โดยใส่เกลือน้อยๆ
          มื้อเย็น : เนื้อสันทอดน้ำมันน้อย ๆ (น้ำมันมะกอกจะดีที่สุด) , สลัดผักเขียว และผลไม้อะไรก็ได้ตามต้องการ
 วันที่ 2
          มื้อเช้า : กาแฟดำ และ ขนมปัง 1 ก้อน (ขนมปังปกติ 3 แผ่น)
          มื้อกลางวัน : สเต็กก้อนใหญ่ และ สลัดผักเขียว และ ผลไม้ตามใจชอบ
          มื้อเย็น : แฮมต้มตามต้องการ
 วันที่ 3
          มื้อเช้า : กาแฟดำ และ ขนมปังก้อน 2 ก้อน
          มื้อกลางวัน : ไข่ต้ม 2 ฟอง และ สลัดมะเขือเทศตามต้องการ
          มื้อเย็น : แฮมต้มตามต้องการ
 วันที่ 4
          มื้อเช้า : กาแฟดำ และ ขนมปังก้อน 1 ก้อน
          มื้อกลางวัน : ไข่ต้ม 1 ฟอง และ หัวแครอทต้มกินกับเนยแข็ง (เนยสวิส)
          มื้อเย็น : ผลไม้ และ โยเกิร์ตเปรี้ยว
 วันที่ 5
          มื้อเช้า : แครอทต้มใส่น้ำมะนาว และกาแฟดำ
          มื้อกลางวัน : ปลานึ่ง และ มะเขือเทศ
          มื้อเย็น : สเต็ก และ สลัดผักเขียว
 วันที่ 6
          มื้อเช้า : กาแฟดำ และ ขนมปังก้อน 1 ก้อน
          มื้อกลางวัน : ไก่ย่างตามต้องการ
          มื้อเย็น : ไข่ต้ม 2 ฟอง และ แครอทต้ม
 วันที่ 7
          มื้อเช้า : ชาใส่มะนาว
          มื้อกลางวัน : ผลไม้ตามต้องการ
          มื้อเย็น : รับประทานอาหารตามปกติ
         พอวันที่ 8 ก็ให้ย้อนกลับไปรับประทานอาหารตามวันที่ 1 ใหม่ หากทำครบ 2 สัปดาห์แล้ว สาว ๆ ควรจะลดน้ำหนักลงไปได้อย่างน้อย 7 กิโลกรัมค่ะ และที่สำคัญระหว่างลดน้ำหนัก ห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และน้ำอัดลมเด็ดขาดค่ะ


 สูตรลดน้ำหนัก สูตรที่ 8 : สูตรลดความอ้วนจากฝรั่งเศส 24 วัน
         สูตรนี้ส่งตรงมาจากเมืองน้ำหอมเลยทีเดียว กับสูตรลดความอ้วน 24 วัน โดย อาหารของเก้าวันแรก ประกอบด้วย
          มื้อเช้า : ส้มโอ และกาแฟ หรือชา
          มื้อกลางวัน : เป็นเนื้อสัตว์ล้วน ๆ ไม่มีข้าว ไม่มีผัก ไม่มีนม และไข่ สามารถใส่ซอสได้ กินได้มากเท่าที่ต้องการไม่จำกัด แต่มีข้อแม้ว่าในหนึ่งมื้อให้กินเนื้อสัตว์เพียงชนิดเดียวเท่านั้นค่ะ เช่น หมูล้วน ไก่ล้วน ปลาล้วน เพื่อให้กระเพาะอาหารสามารถทำงานได้ดี มากกว่าการกินปนกันที่จะทำให้กระเพาะอาหารทำงานหนักขึ้น โดยเนื้อสัตว์นั้น เนื้อหมูจะมีไขมันมากที่สุด ตามมาด้วยเนื้อวัว ส่วนอาหารทะเลจะมีไขมันน้อย นอกจากนี้อาหารต้ม นึ่ง เผา จะมีแคลอรีน้อยกว่าอาหารทอด เช่นนั้นแล้ว ลองเลือกดูนะคะว่า จะทานอะไร 
         อาหารแนะนำคือสเต็กพริกไทย ปลาสำลีเผา กุ้งอบเกลือ สตูว์เนื้อไม่ใส่ผัก ปลากระพงย่างบีบมะนาว หมูทอดกระเทียม แกงจืดหมูสับล้วน ระวังอย่ากินผักและข้าวเป็นพอ
          มื้อเย็น : ให้กินแต่ข้าวกล้องล้วน ๆ แต่สามารถเติมซอสได้ ผัดกับกระเทียมได้ ใส่ซีอิ้ว พริกไทยได้หมดค่ะ แต่ห้ามไม่ให้มีนมกับไข่ผสมเด็ดขาด ผักและเนื้อสัตว์กินไม่ได้เช่นกัน อาหารแนะนำ คือ ข้าวผัดกระเทียมใส่ซีอิ๊วขาว ข้าวผัดกะปิ ข้าวคลุกมันกุ้ง ข้าวผัดมันปู ข้าวคลุกน้ำพริกตาแดง ข้าวคลุกน้ำพริกต่าง ๆ ข้าวคลุกพริกป่นบีบมะนาว
         สามวันต่อมา แม้ว่า น้ำหนักของคุณสาวๆ จะเริ่มลดไปบ้างแล้ว แต่ยังหยุดไม่ได้ค่ะ ต้องรับประทานต่อ โดย มื้อเช้ายังคงเหมือนเดิมค่ะ ส่วนมื้อกลางวันและเย็นเป็นผลไม้ล้วน ๆ ห้ามมีอย่างอื่นมาเกี่ยวข้อง จะทานผลไม้อะไรก็ได้ ทุเรียน มะม่วง ก็ไม่ว่า (แต่น้ำหนักอาจลดน้อยกว่าที่ควร) และต้องกินเป็นมื้อ อย่ากินจุบจิบ
         เก้าวันชุดที่ 2 อาหารเช้าเหมือนเดิมค่ะ ส่วนมื้อที่เหลือเป็นผักล้วน มันฝรั่ง เผือก ข้าวโพด ทานได้ค่ะ อาหารแนะนำ ได้แก่ คะน้าผัดน้ำมันหอย ผักนึ่งจิ้มน้ำพริก ผัดผักทุกอย่าง สลัดผักน้ำใส (ที่ไม่ใส่นม ไข่ และน้ำตาล)
         และสามวันสุดท้าย มื้อเช้าเหมือนเดิมค่ะ ส่วนมื้อกลางวันและเย็นให้ทานเป็นผลไม้ล้วนๆ
         ถ้าทำได้ครบและเคร่งครัด รับรองว่า น้ำหนักของคุณสาว ๆ ลดได้แน่ ๆ เลย แต่มีควรข้อระวังนะคะ หากนับวันผิด หรือเผลอทานนอกเหนือจากที่กำหนดไป ก็ต้องกลับมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่อีกค่ะ และถ้าครบ 24 วันแล้ว ก็สามารถกลับไปทานอาหารแบบเดิมได้  แต่ถ้าอยากผอมตลอด โดยไม่อยากควบคุมปริมาณอาหาร ก็สามารถใช้วิธีนี้ได้คือ
          หากจะทานเนื้อ ให้ทานเนื้อชนิดเดียวกัน และให้กินร่วมกับผัก ห้ามกินรวมกับพวกแป้ง
          หากจะกินอาหารพวกแป้ง เช่น ข้าว ก็ไม่ควรทานพร้อมกับโปรตีน ให้ทานกับผักแทน
          ผลไม้จะทานในปริมาณเท่าไหร่ก็ได้ค่ะ เพราะเป็นอาหารที่ใช้เวลาอยู่ในกระเพาะน้อย แต่เป็นอาหารหนัก ทำให้อิ่มนาน ดังนั้นเพื่อสุขภาพควรทานผลไม้ก่อนทานอาหารหลัก ประมาณ 15-30 นาที เพื่อให้ผลไม้ไปตัดกำลังอาหารหลักนั่นเอง เราก็จะทานอาหารได้น้อยลง

 สูตรลดน้ำหนัก สูตรที่ 9 : สูตรลดน้ำหนักใน 1 เดือน
         ใครชอบสูตรลดน้ำหนักระยะยาว ต้องลองสูตรลดน้ำหนัก ใน 1 เดือนค่ะ โดยจะมีรายการอาหารเช้า กลางวัน เย็น และผลไม้ ให้เลือกเป็นข้อ ๆ แต่ละวันก็เลือกมามื้อละ 1 ข้อ และผลไม้ 1 อย่างค่ะ ส่วนผักจะทานเท่าไหร่ก็ได้ ไม่จำกัดจำนวน ส่วนอาหารแต่ละมื้อ มีอะไรให้เลือกบ้าง ไปดูกัน
 มื้อเช้า
          1. กาแฟดำ 1 ถ้วย และ ขนมปังโฮลวีท 1 แผ่น
          2. นมพร่องมันเนย 1 แก้ว และ ขนมปังโฮลวีท 1 แผ่น
          3. โยเกิรต์ไขมันต่ำ 1 ถ้วย
          4. ขนมปังทาน้ำผึ้ง 1 แผ่น
          5. ข้าวต้มไก่, กุ้ง 1 ถ้วย ไม่ใส่น้ำมัน หรือ กระเทียมเจียว (ข้าวปริมาณ 1 ทัพพีเล็ก)
          6. ผลไม้
 มื้อกลางวัน และมื้อเย็น
          1. ข้าวสวย 1 ทัพพี และ แกงส้ม, แกงเลียง, แกงป่า (เลือกมา 1 อย่าง แต่ห้ามทานแกงกะทิเด็ดขาด)
          2. ข้าวสวย 1 ทัพพี และ ต้มจืดตำลึง (อาจเปลี่ยนเป็นผักอย่างอื่นก็ได้ ไม่ใส่น้ำมัน)
          3. ข้าวสวย 1 ทัพพี และ เกาเหลาผักเยอะๆ 1 ถ้วย
          4. ข้าวสวย 1 ทัพพี และ น้ำพริก, ผักสด, ผักลวก (ไม่จำกัดปริมาณผัก)
          5. ข้าวสวย 1 ทัพพี และ ไข่ต้ม 1 ฟอง และผักไม่จำกัดปริมาณ
          6. ขนมจีน 1 จับ และ น้ำยาป่า และ ผักไม่จำกัดปริมาณ (ห้ามทานน้ำกะทิ)
          7. ข้าวเหนียว 1 ปั้น และ ส้มตำไม่ใส่น้ำตาล ไก่ย่าง 1 ไม้ ไม่ติดมัน และหนัง
          8. สลัดผัก (ไก่, กุ้ง, ไข่) โดยน้ำสลัดต้องเป็นน้ำใสถ้าจะเป็นน้ำข้นต้องเป็นชนิดไขมันต่ำ 1 จาน
          9. สเต็ก หมู, ไก่, ไม่ติดมัน และ ผักไม่จำกัดปริมาณ
          10. ผลไม้
 ผลไม้
          1. สัปปะรด 1 จานเล็ก
          2. ส้มโอ 1 จานเล็ก
          3. ฝรั่ง 1 ลูก
          4. ส้มเขียวหวาน 2 ลูก
          5. แอปเปิ้ล 1 ลูก
          6. แตงโม 1 จานเล็ก
          7. มะละกอ 1 จาน
         สูตรนี้ไม่จำกัดระยะเวลาค่ะ แต่ควรทานติดต่อกันเป็นระยะเวลา 1 เดือน และงดอาหารจุบจิบ อาหารหวาน เครื่องในสัตว์ น้ำอัดลม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยเด็ดขาด ถ้าลองปฏิบัติตามนี้แล้ว ในเวลา 1 เดือน ควรลดน้ำหนักได้อย่างน้อย 5-8 กิโลกรัม

         มีสูตรลดน้ำหนัก ให้สาว ๆ ลองเลือกขนาดนี้ ใครชอบ สูตรลดน้ำหนัก ไหนก็ลองเลือกใช้ เลือกปฏิบัติกันดูนะคะ แต่ที่สำคัญคือต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อจะได้เห็นผลที่ชัดเจนค่ะ


ที่มา : http://health.kapook.com

เคล็ดลับ สุขภาพดี ด้วย 18 วิธี ง่ายๆ

Posted by All วันอังคารที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2556 0 ความคิดเห็น


สุขภาพดีอาจจะหาซื้อไม่ได้แต่เป็นเจ้าของได้แน่นอน ถ้าสาวๆ ทำตามเคล็ดลับเหล่านี้

1. แอปเปิ้ล แตงโม กล้วย กีวีต้องระวัง
ผลไม้ทั้ง 3 ชนิดนี้มีประโยชน์มาก แต่ถ้าคุณกำลังทานยาปฏิชีวนะอยู่ ผลไม้พวกนี้จะกลายเป็นโทษทันทีเพราะมันบูดในลำไส้ได้ง่าย อาจจะทำให้เกิดอาการอักเสบในระบบทางเดินอาหารได้

2. ผลไม้กับมื้ออาหาร
ก่อนทานอาหารควรจะเรยีกน้ำย่อยด้วยสับปะรดและมะละกอสัก 2-3 ชิ้น ผลไม้สองชนิดนี้มีเอนไซม์ที่จะช่วยให้กระเพาะย่อยอาหารมื้อหลักที่กำลังจะตามลงมาได้ง่ายขึ้น และหลังจากจบมื้ออร่อยแล้วควรตบท้ายด้วยแอปเปิ้ลสัก 1 ชิ้นเพื่อช่วยเพิ่มปริมาณน้ำลายซึ่งจะทำให้จำนวนแบคทีเรียในช่องปากลดลง และช่วยให้เหงือกแข็งแรงด้วย

3. อย่าปล่อยให้หิว
ควรจะทานอาหารให้ตรงเวลาทุกวันแม้จะยังไม่รู้สึกหิวก็ตาม เพราะเวลาที่เราหิวร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนควมเครียดออกมา ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้เป็นประจำก็จะทำให้คุณกลายเป็นสาวเครียด และนำไปสู่อาการความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือเบาหวาน

4. เนื้อสัตว์กับผลไม้ไม่เข้ากัน
ถ้าทานน้อยๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามื้อไหนคุณทานเนื้อเป็นจำนวนมากแล้วควรจะงดผลไม้ไป เพราะกว่าเนื้อจะย่อยหมดต้องใช้เวลานาน ส่าวนผลไม้ซึ่งย่อยเร็วจะถูกกักอยู่ในกระเพาะ จึงทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหารได้

5. นาฬิกาชีวภาพ
หลักการสุขภาพดีบอกไว้ว่าเราควรจะเข้านอนในเวลาเดียวกันทุกๆ วัน แต่ส่วนใหญ่พอถึงคืนวันศุกร์กับวันเสาร์เรามักจะนอนดึกเพราะถือว่าเป็นวันหยุด การทำอย่างนี้จะทำให้ความเคยชินหรือที่เรียกว่าชีวภาพของร่างกายรวรเร จึงไม่ต้องแปลกใจเลยที่วันจันทร์เราจะง่วงนอนกว่าปกติ

6. ความเครียดทำลายผิว
ถ้าอยากผิวสวย แก่ช้า ดูอ่อนกว่าวัย สิ่งแรกที่ต้องปรับคือความคิดของตัวเราเอง พยายามคิดในทางบวก มองโลกในแง่ดี หลีกเลี่ยงความคิดที่ทำให้ตึงเครียด เพื่อไม่ให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกทำลายตัวเราเอง

7. หลีกเลี่ยงภาชนะพลาสติก
เพราะความร้อนรวมทั้งรสชาติเผ็ดเปรี้ยว เค็มจากอาหารสามารถเข้าไปกัดเซาะสารสังเคราะห์ในพลาสติกให้ละลายออกปะปนกับอาหารได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะการใช้ภาชนะพลาสติกใส่อาหารเข้าอุ่นในเตาไมโครเวฟยิ่งเป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง เพราะเป็นการเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมเป็นอย่างมาก

8. อย่าประมาทอาการไอเรื้อรัง
หลังจากหายหวัดแล้วอาการไออาจจะยังไม่หายไป แต่สาวหลายคนมักจะไม่สนใจเพราะคิดว่าอาการไอเป็นเรื่องชิลๆ แต่ที่จริงอาการไอเรื้อรังร้ายแรงกว่าที่คุณคิด เพราะมันอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ยาปฏิชีวนะ ที่หมอให้มารักษาอาการหวัดไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ วิธีหยุดอาการไอที่ได้ผลที่สุดคือการดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อลดเสมหะในทางเดินหายใจ และนอนหลับให้เพียงพอเพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้เต็มที่

9. เท้าและข้อเท้าบวม
ถ้ามีอาการแบบนี้อย่าปล่อยไว้ เพราะฝ่าเท้าเป็นศูนย์รวมของเส้นประสาททั่วร่างกาย ถ้าบริเวณเท้ามีปัญหาก็จะส่งผลถึงร่างกายทุกส่วน วิธีแก้ไขคือให้นั่งยองๆ ทุกวันๆ ละ 15 นาทีจากนั้นก็ขยับข้อเท้าไปข้างหน้าและข้างหลังเพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น หลังจากนั้นใช้แปรงขนนุ่มๆ แปรงผิวหนังเบาๆ โดยเริ่มจากฝ่าเท้าแล้วค่อยๆ ปัดไล่ขึ้นมาที่ข้อเท้า น่อง ต้นขา ท้อง แขนไปจนสุดที่มือทั้งสองข้าง (ยกเว้นผู้ที่เป็นเบาหวานเพราะเสี่ยงจะเกิดบาดแผล) ตบท้ายด้วยการอาบน้ำอุ่นแล้วตามด้วยน้ำเย็น จะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น


10. งดเครื่องดื่มคาเฟอีน
เครื่องดื่มพวกนี้ไม่ว่าจะเป็นชาหรือกาแฟ ปกติก็ไม่ควรดื่มอยู่แล้ว แต่ถ้าบังเอิญคุณเป็นโรคปวดหลัง เครื่องดื่มพวกนี้จะเป็นศัตรูของคุณไปทันที เพราะคาเฟอีนจะไปลดการหลั่งสารเอนโดรฟินซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดอาการปวดตามอวัยวะต่างๆ อาการปวดของคุณก็จะไม่หายหรืออาจจะเป็นมากขึ้นด้วย

11. ดื่มน้ำเร็ว…อันตราย
ใครๆ ก็บอกว่าควรจะดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้ว แต่ต้องค่อยๆ ดื่มไปตลอดวัน ไม่ใช่ทั้งวันไม่ดื่มเลย แล้วมารวบยอดเอาในครั้งเดียว เพราะการดื่มน้ำปริมาณมากๆ ในครั้งเดียวอาจทำให้เกิดอาการน้ำเป็นพิษเนื่องจากเลือดเจือจาง และอาจทำให้เป็นตะคริว กล้ามเนื้อเกร็งตามมา ยิ่งถ้าอาการเกร็งไปเกิดที่สมอง หัวใจ หรือปอด ก็อาจจะทำให้ระบบหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้

12. แดดอ่อนตอนเช้า
แสงแดดยามเช้าจัดว่าเป็นยาตามธรรมชาติที่ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของโดยไม่ต้องเสียเงินซื้อ นอกจากทำให้กระดูกแข็งแรงแล้วยังทำให้อารมณ์ดี เพราะแดดอ่อนๆ มีวิตามินที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุข ออกมาต่อต้านอาการซึมเศร้าในตัวเรา คนที่เดินเล่นรับแดดอ่อนจึงมีหน้าตาเบิกบานกว่าคนที่มัวแต่หลบแดดอยู่ในบ้านมาก

13. เบาหวานอย่าทานไข่
ถ้าสมาชิกในครอบครัวคุณคนไหนเป็นเบาหวาน ควรให้เขางดไข่ไปเลย เพราะมีรายงานทางการแพทย์ว่าถ้าคนที่เป็นเบาหวานทานไข่อาทิตย์ละ 1 ฟอง จะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจมากขึ้น

14. อยากผอมต้องน้ำเย็น
การดื่มน้ำเย็น 50 ออนซ์ จะช่วยเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นวันละ 50 แคลอรี ช่วยให้น้ำหนักลดลงปีละ 2.5 กิโลกรัม เพราะเมื่อเราดื่มน้ำเย็นร่างกายต้องใช้พลังงานในการทำให้น้ำนั้นเปลี่ยนอุณหภูมิเป็นอุณหภูมิปกติก่อน แล้วจึงนำไปใช้ได้ จึงเป็นการใช้พลังงานมากกว่าเดิม

15. สุขภาพดีทันทีที่ตื่น
ถ้าอยากดูแลสุขภาพพร้อมกับการเริ่มต้นวันใหม่ ทันทีที่ตื่นนอนสาวๆ ควรผสมน้ำส้มสายชู (ที่หมักจากผลแอปเปิ้ล) กับน้ำผึ้งในสัดส่วนเท่ากัน ใส่น้ำอุ่นนิดหน่อย คนให้เข้ากันแล้วนำมาดื่ม จะช่วยให้การดูดซึมของระบบลำไส้และการเผาผลาญของร่างกายทำงานได้ดีตลอดวัน

16. ผู้ชายอย่าพลาดมะเขือเทศ
สำหรับหนุ่มซ่าที่กำลังเริ่มมีอาการเตะปี๊ปไม่ดังหรือกลัวว่าจะเป็นหมัน มะเขือเทศคือผลไม้ที่คุณจะพลาดไม่ได้ เพราะมะเขือเทศสุกมีสารโคปีนสูงมาก ช่วยให้ต่อมลูกหมากทำงานได้ดี ประสิทธิ์ภาพและสมรรถภาพต่างๆ จึงทำงานได้เป็นปกติ ถ้าผู้ชายทานมะเขือเทศอย่างน้อยอาทิตย์ละ 10 ผลหรือมากกว่านั้น ความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ก็จะน้อยลง 45 เปอร์เซ็นต์ ที่สำคัญควรจะทานแบบสุกๆ เช่น ทานเป็นน้ำพริกอ่อง สปาเก็ตตี้ เพราะเวลามะเขือเทศถูกความร้อนมันจะปล่อยสารไลโคปีนออกมามากขึ้น

17. ป้องกันกรดในกระเพาะอาหาร
สำหรับที่ท้องอืดบ่อย ควรลดปริมาณการดื่มน้ำผลไม้เข้มข้นอย่างเช่น มะนาว ส้ม ส้มโอ เกรฟฟรุต หรือน้ำมะเขือเทศสดนั่น เพราะน้ำพวกนี้มีกรดมากทำให้ท้องอืด หรือถ้าเสพติดไปแล้วอดไม่ได้จริงๆ ก็อาจจะทำให้เจือจางลงด้วยการผสมน้ำมากๆ

18. หลบอัลไซเมอร์ด้วยเกม
ถ้าไม่อยากเป็นอัลไซเมอร์หรือเป็นโรคขี้หลงขี้ลืม สาวๆ ควรจะฝึกสมองด้วยการเล่นเกมที่ต้องใช้สมาธิ เช่น ปริศนาอักษรไขว้ เกมในคอมพิวเตอร์ หรืออาจจะทำกิจกรรมที่ต้องใช้สมาธิอย่างเรียนดนตรี เล่นหมากรุก เป็นต้น เพราะเกมเหล่านี้จะช่วยให้ระบบประสาททำงานเชื่อมต่อกันอย่างมีประสิทธิภาพ

เรื่องน่าสนใจจากบล็อกเพื่อนบ้าน