ฟังเพลงตามเทศกาล กิ๊ฟชอป, ตุ๊กตา

เล่นเกม"เตตริส" ช่วยรักษาอาการ"ตาขี้เกียจ"

Posted by All วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2556 0 ความคิดเห็น


แพทย์ชาวแคนาดาเผยผลการศึกษาที่พบว่า การเล่นเกม"เตตริส"จะช่วยบริหารสายตาที่มีอาการที่เรียกว่า "ตาขี้เกียจ"ได้ดี

โดยทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแมคกิล พบว่าเกมจัดเรียงตัวบล็อกให้เป็นแถวดังกล่าว จะช่วยทำให้ตาทั้งสองข้างสามารถทำงานได้พร้อมๆกัน

ผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร "Current Biology" โดยใช้กลุ่มผู้ใหญ่ 18 คน พบว่าวิธีดังกล่าวได้ผลดีกว่าการรักษาด้วยการติดแผ่นแปะไว้ที่ตาข้างที่ดีกว่า เพื่อให้ตาที่ใช้น้อยกว่าได้ทำงานมากขึ้น

คาดการณ์กันว่า เด็กทุก 1 จาก 50 ราย มีอาการที่ทางการแพทย์เรียกว่า "ตาขี้เกียจ" (amblyopia) หรืออาการที่ทำให้ตาทั้งสองข้างไม่ได้ใช้มอง หรือใช้ตาข้างใดข้างหนึ่งมองน้อยกว่าอีกข้างในช่วงตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 ขวบ ที่ทำให้ตาข้างที่ใช้น้อยกว่าเจริญไม่เต็มที่ และมัวกว่าตาอีกข้างไปตลอดชีวิต ซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการผ่าตัด กินยา หยอดยา เลเซอร์ หรือวิธีการใด

การทดลองโดยใช้อาสาสมัคร 18 ราย โดย 9 รายที่มีอาการตาขี้เกียจ จะต้องสวมแว่นตาสำหรับเล่นเกมเตเตริส นาน 1 ชม.ต่อวัน ติดต่อกันนาน 2 สัปดาห์ หลังสวมแว่นตาดังกล่าว จะมองเห็นแต่เพียงบล็อกที่กำลังค่อยๆตกลงมา ขณะที่อีกข้างจะเห็นแต่บล็อกที่วางต่อกันอยู่บนพื้น

ส่วนอาสาสมัครอีก 9 คนที่มีอาการตาขี้เกียจเช่นกัน จะต้องสวมแว่นตาเช่นกัน แต่ตาข้างที่ดีกว่าจะถูกปิดและมองภาพของทั้งเกมผ่านตาข้างที่อ่อนแอกว่า

หลังสิ้นสุดการทดลองนาน 2 สัปดาห์ กลุ่มที่ใช้ตาทั้งสองข้าง มีการพัฒนาการมองเห็นได้มากกว่ากลุ่มที่ปิดตาหนึ่งข้าง ต่อมานักวิจัยจึงให้กลุ่มที่ปิดตาหนึ่งข้างเปิดตาอีกข้าง ทำให้การพัฒนาการมองเห็นดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ดร.โรเบิร์ต เฮสส์ กล่าวว่า การรักษาด้วยวิธีนี้เป็นทางเลือกที่ดีกว่าการติดแผ่นแปะ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ใหญ่ เนื่องจากผู้ใหญ่ไม่มีแนวโน้มที่จะได้รับประโยชน์ใดๆจากวิธีเดิม อีกทั้งยังไม่จำเป็นต้องเป็นเกมเตตริส แต่เป็นเกมคอมพิวเตอร์ใดๆก็ได้  การที่ทำให้ตาสองข้างได้ทำงานพร้อมๆกัน จะทำให้การมองเห็นดีขึ้น

เขากล่าวว่า ผลการวิจัยครั้งนี้และอื่นๆก่อนหน้านี้ ชี้ให้เห็นว่า อาการตาขี้เกียจส่วนใหญ่เกิดจากตาทั้งสองข้าง และการที่ปิดตาข้างที่ดีกว่า อาจยิ่งทำให้อาการแย่ลงมากกว่าที่จะรักษาตาอีกข้าง นอกจากนั้น การบังคับให้ตาทั้งสองข้างทำงานร่วมกัน จะช่วยเพิ่มระดับของ"สภาพพลาสติก" หรือความสามารถในการปรับตัวในสมอง และทำให้ตาข้างที่อ่อนแอสามารถเรียนรู้ที่จะมองเห็นได้อีกครั้ง

ที่มา www.matichon.co.th

พบสาเหตุทำเด็กเครียดง่าย ติดตัวยันโต

Posted by All วันจันทร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2556 0 ความคิดเห็น



ทำไมลูกของเราจึงเป็นคนเครียดง่าย? คนเป็นพ่อเป็นแม่ที่มีลูกเข้าลักษณะดังกล่าว เคยสงสัยกันบ้างไหม...


ข้อสงสัยข้างต้น มุมสุขภาพค้นเจอคำตอบจากผลงานวิจัยแดนมะกัน ของอลิซ เกรแฮม นักศึกษาปริญญาเอก มหาวิทยาลัยโอเรกอน ซึ่งเล่าไว้ว่า ลูกน้อยที่ได้ยินเสียงพ่อแม่ทะเลาะเบาะแว้ง โต้เถียงรุนแรง จะกลายเป็นคนเครียดง่าย แม้กระทั่งตอนที่พวกเขากำลังหลับ สมองของเด็กก็รับรู้ถึงเสียงแห่งความขัดแย้งได้เช่นกัน


โดยลักษณะสมองของเด็กๆ ที่กำลังพัฒนาอยู่นั้น ยังไม่แข็งแกร่งเต็มประสิทธิภาพเหมือนผู้ใหญ่ จึงมีความไวต่อการตอบสนองสภาพแวดล้อมรอบตัว แถมเสียงตะคอกตะโกนใส่กันยังสร้างความเครียด และกลายเป็นตัวขวางพัฒนาการทางสมองของเด็ก


การศึกษาเรื่องนี้ ผู้วิจัยใช้เครื่องสแกนเอ็มอาร์ไอดูสมองของเด็กเล็ก 20 คน ขณะนอนหลับ จนสามารถสังเกตเห็นความแตกต่างในการทำงานสมอง หลังได้รับรู้โทนเสียงที่มีลักษณะแตกต่างกัน เช่น เสียงทะเลาะดังๆ ของคนที่กำลังโกรธ หรือเสียงโทนอ่อนนุ่มจากผู้ใหญ่ที่พูดคุยกันปกติ


เกรแฮม ผู้วิจัย บอกว่า เรากำลังสนใจค้นหาแหล่งที่มาของความเครียดในช่วงต้นของชีวิต โดยเชื่อว่าความขัดแย้งของพ่อแม่ สัมพันธ์กับการทำงานของสมองเด็กน้อยเหล่านั้น


นอกจากนี้ ยังพบว่า เด็กที่เติบโตมาจากบ้านแห่งความขัดแย้ง มักจะเป็นคนมีอามรณ์ฉุนเฉียว โกรธง่าย และควบคุมอารมณ์ได้ยากกว่าเด็กที่เติบโตมาจากบ้านที่มีความขัดแย้งต่ำ


อย่างไรก็ตาม ที่หลายคนรู้กันมาว่า ถ้าตอนตั้งครรภ์ คุณแม่เครียด ขี้โมโห นิสัยเหล่านั้นก็จะส่งผลถึงทารกในครรภ์ ซึ่งนักวิจัยย้ำว่า จริง แถมยังส่งผลให้เด็กเติบโตมาเป็นคนอารมณ์อ่อนไหว เครียดง่าย
ไม่อยากให้ลูกน้อย โตไปเป็นคนขี้กังวล เครียดง่าย ควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยอยู่ พ่อแม่และทุกคนในบ้านต้องร่วมกันสร้างบรรยากาศที่ดีในครอบครัวแล้วล่ะ


ที่มา เดลินิวส์ออนไลน์

เรื่องน่าสนใจจากบล็อกเพื่อนบ้าน